แบตเตอรี่รถยนต์ เปรียบเสมือนแหล่งพลังงานของรถและจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ แต่เมื่อไหร่ที่รถของคุณไม่ค่อยได้ใช้นาน หรือจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้ แนะนำว่าควรถอดแบตรถยนต์ออกเพื่อป้องกันแบตรถเสื่อม ทั้งนี้ วิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์ ด้วยตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้เราจะอธิบายวิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละขั้นตอนกันค่ะ
วิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกต้อง
การถอดแบตเตอรี่รถยนต์กับรถยนต์ที่ไม่ได้จอดนาน ๆ เป็นการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไม่ให้เสื่อม แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้วิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าการถอดแบตเตอรี่รถยนต์ ต้องถอดแบตเตอรี่รถยนต์ขั้วไหนก่อน ใส่แบตเตอรี่รถยนต์ขั้วไหนก่อน หรือกังวลว่าเมื่อถอดแบตเตอรี่รถยนต์ไปแล้ว จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ เรามาดูวิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์ ดังนี้
อุปกรณ์ที่ใช้ในการถอดแบตเตอรี่รถยนต์
- ถุงมือผ้า หรือ ถุงมือยาง
- แว่นตา
- ประแจเบอร์ 10 , 12 สำหรับถอดสายรัดแบตเตอรี่ (รถแต่ละรุ่นอาจมีขนาดเบอร์ประแจไม่เท่ากัน)
- ประแจเบอร์ 12 สำหรับถอดขั้วแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่
ขั้วบวก (+) และ ขั้วลบ (-) แบตเตอรี่รถยนต์
- ขั้วบวก (+) จะมีฝาครอบสีแดง
- ขั้วลบ (-) จะมีฝาครอบสีดำ
วิธีถอดแบตเตอรี่รถยนต์
- เปิดฝากระโปรงหน้ารถ ใส่ถุงมือและแว่นตาป้องกันให้เรียบร้อย
- มองหาขั้วลบ (-) บนแบตเตอรี่รถยนต์ ปกติแล้วจะอยู่ใกล้กับตัวถังรถ
- ใช้ประแจหมุนคลายน็อตขั้วลบ (-) หมุนทวนเข็มนาฬิกา แล้วดึงขั้วลบออกจากแบตเตอรี่ ระวังอย่าให้น็อตสัมผัสกับแบตเตอรี่
- ต่อมาคลายน็อตขั้วบวก (+) อย่าให้ขั้วบวกสัมผัสกับโลหะ
- คลายสกรูของสายรัดแบตเตอรี่ออก แล้วนำแบตเตอรี่รถยนต์ออก
วิธีใส่แบตเตอรี่รถยนต์
- นำแบตเตอรี่รถยนต์กลับเข้าไปวางในถาด ใส่สายรัดแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย
- ทำย้อนขั้นตอนการถอดแบตเตอรี่รถยนต์ โดยการใส่ขั้วบวก (+) ก่อนเสมอ ตามด้วยขั้วลบ (-)
ข้อควรระวังในการถอดแบตเตอรี่รถยนต์
ในวิธีการถอดแบตเตอรี่รถยนต์นั้น ต้องจำไว้เสมอว่า การถอดแบตเตอรี่รถยนต์ จะต้องถอดขั้วลบ สีดำ (-) ก่อน เนื่องจากหากถอดขั้วบวก สีแดง (+) ก่อน ขั้วบวกอาจไปสัมผัสกับตัวถัง หรือสัมผัสกับขั้วลบ อาจทำให้เกิดการสปาร์ค หรือเกิดประกายไฟ สร้างความเสียหายให้กับรถได้ เพราะฉะนั้นควรจำไว้ว่า การถอดแบตเตอรี่รถยนต์ จะต้องถอดขั้วลบสีดำก่อน และการใส่แบตเตอรี่รถยนต์กลับเข้าไปใหม่นั้น จะต้องใส่ขั้วบวกสีแดง (+) กลับเข้าไปก่อนเสมอ
การถอดแบตเตอรี่รถยนต์ มีผลอะไรต่อรถหรือไม่?
หลังจากที่ถอดแบตเตอรี่เพื่อนำไปชาร์จใหม่ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่ จึงไม่มีไฟไปเลี้ยงกล่องสมองรถยนต์ หรือ ECU (Electronic Control Unit) โดยกล่องสมองรถยนต์นี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับการจ่ายไฟเลี้ยงรถ การจ่ายน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อไม่มีไฟไปเลี้ยงกล่อง ECU ส่งผลให้กล่อง ECU เกิดอาการรวน ไม่สามารถจำค่าเดิมได้ ทำให้รถแสดงอาการผิดปกติ ดังนี้
- เครื่องยนต์รอบตก เดินไม่นิ่ง เครื่องสั่น
- แอร์รถยนต์ไม่เย็น เพราะคอมแอร์ตัดเมื่อรถรอบต่ำ
- เวลาของนาฬิกาเปลี่ยนไป ต้องตั้งค่าใหม่
- คลื่นสถานีวิทยุที่ตั้งไว้หายไป ต้องตั้งค่าใหม่
แต่หากคุณต้องการถอดแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อนำไปชาร์จไฟ อาจจะทำให้การตั้งค่าต่าง ๆ ภายในรถสูญหาย ทั้งนี้เราสามารถใช้วิธีการจั๊มพ์แบตเตอรี่รถยนต์ หรือวิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
วิธีจั๊มแบตรถยนต์ ทำอย่างไร
วิธีจั๊มแบตรถยนต์ การจั๊มพ์แบตรถ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ที่หลายคนเรียกกัน เป็นการกระตุ้นการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ ช่วยทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ โดยใช้วิธีจั๊มแบตรถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถจากแบตเตอรี่ของรถอีกคันหนึ่งโดย วิธีจั๊มแบตรถยนต์ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.การเตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์
เริ่มต้นวิธีจั๊มแบตรถยนต์ในขั้นตอนแรก ก่อนอื่นจะต้องเตรียมสายจั๊มมแบตเตอรี่หรือสายพ่วงแบตรถยนต์ ซึ่งสิ่งนี้ควรจะมีติดรถไว้ทุกคัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้นำมาใช้ได้ สำหรับสายจั๊มแบตเตอรี่จะมีอยู่ 2 เส้น สายสีแดงคือประจุไฟขั้วบวก และสายสีดำหรือสีเขียวคือประจุไฟขั้วลบ โดยความยาวของสายจั๊มแบตเตอรี่นั้น ควรจะยาวพอที่จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่รถจากอีกคันหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องจอดรถชิดกันมากนัก
2.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทั้งหมดของรถ
หลังจากที่เตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่และมีรถยนต์หรือแบตเตอรี่อีกก้อนสำหรับพ่วงสายจั๊มแบตแล้ว นำรถมาจอดใกล้กันแต่ไม่ควรจอดรถชิดกันเกินไป ป้องกันรถเกิดประกายไฟ
3.ต่อสายจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์เข้าด้วยกัน
นำสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างที่เป็นสีแดง หรือขั้วบวก ต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่มีปัญหา แล้วนำสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เป็นสีดำ หรือขั้วลบ ไปต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถยนต์อีกคันที่ปกติ ส่วนปลายอีกด้านให้หนีบตรงโลหะของเครื่องยนต์
4.สตาร์ทเครื่องยนต์
สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันปกติก่อน ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่หมดเพื่อทดสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่หรือยัง
5.ถอดสายจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์
ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ โดยต้องถอดตามขั้นตอน ดังนี้ เริ่มต้นจากขั้วลบจากรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วค่อยถอดขั้วลบและขั้วบวกของรถคันปกติตามลำดับ ตามด้วยขั้วบวกของรถที่แบตเตอรี่หมด โดยมีข้อระวังตรงที่ไม่ให้สายจั๊มแบตเตอรี่ต่างขั้วมาสัมผัสกัน
การบำรุงรักษาแบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่รถยนต์ คือแหล่งพลังงานและการจ่ายไฟไปยังส่วนต่าง ๆ ของรถ หากแบตหมดไม่มีไฟก็จะไม่สามารถสตาร์ทรถได้ หรือหากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ก็จะทำให้รถสตาร์ทติดยาก ระบบไฟภายในรถทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้เราสามารถดูแล บำรุงรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ให้สามารถใช้ได้นานตามอายุการใช้งาน ไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรได้ ดังนี้
1.อย่าจอดรถทิ้งไว้นาน
หากรถจอดทิ้งไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะหมดและหายไปเอง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ อย่างน้อยควรสตาร์ทรถและนำรถไปวิ่งอุ่นเครื่องบ้าง เพื่อให้แบตเตอรี่รถยนต์ได้ทำการชาร์จไฟไปในตัวด้วย
2.หลีกเลี่ยงการเดินทางในระยะสั้น
ในการใช้รถเดินทางแต่ละครั้ง หากเราใช้รถสำหรับระยะการเดินทางไกล แบตเตอรี่รถยนต์จะสามารถจ่ายไฟและชาร์จกลับเข้ามาในระหว่างที่ขับรถได้ ทั้งนี้หากเป็นการใช้ระยะทางสั้น ๆ แบตเตอรี่จะไม่มีเวลาที่จะชาร์จไฟกลับเข้ามาในแบตเตอรี่รถยนต์ได้เลย ทำให้กำลังไฟหายไปในช่วงนั้น และหากเป็นบ่อยครั้งจะไม่สามารถชาร์จไฟเพื่อสตาร์ทรถได้
3.ขจัดคราบสกปรกที่แบตเตอรี่
หากพบคราบขี้เกลือเกาะที่ขั้วแบตเตอรี่ มีลักษณะเป็นคราบสีเขียวอมฟ้า ให้ความสะอาดคราบขี้เกลือนี้ได้ด้วยการใช้น้ำโซดากับแปรงสีฟัน ขัดไปที่ขั้วแบตเตอรี่ โดยค่อย ๆ ขัดสักพักขั้วแบตเตอรี่ก็จะกลับมาสะอาด นอกจากแบตเตอรี่รถยนต์จะสะอาดแล้ว ยังทำให้กระแสไฟสามารถส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของรถได้ดี รถสตาร์ทติดง่าย ช่วยให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไม่เสื่อมสภาพง่ายอีกด้วย
ทั้งนี้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ จะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้ โดยแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไปนั้นมี 4 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์
1.แบตเตอรี่น้ำ
แบตเตอรี่น้ำ ถือเป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม การใช้งานจะต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ และหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่อยู่เสมอ ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูก ทนทาน อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์นี้จะนานกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 1-2 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี
2.แบตเตอรี่กึ่งแห้ง
แบตเตอรี่กึ่งแห้ง จะคล้ายกับแบตเตอรี่แห้งแต่ยังมีรูเติมน้ำกลั่น เติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่ไม่ต้องดูแลแบตเตอรี่ประเภทนี้อะไรมากมายนัก ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 2 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 ปี
3.แบตเตอรี่แห้ง
แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ดูแลรักษาง่าย แต่มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 5 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น รุ่นรถ การใช้งาน การดูแลรักษา สภาพอากาศ เป็นต้น
4.แบตเตอรี่ไฮบริด
แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนามาจากแบตเตอรี่น้ำและแบบกึ่งแห้ง ไม่ต้องเสียเวลาเติมน้ำกลั่นบ่อย มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง แต่แพงกว่าแบบน้ำ ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 3 – 5 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
วิธีกา รถอดแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากทำผิดขั้นตอน อาจจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ช็อต เกิดประกายไฟ สร้างความเสียหายให้กับรถของคุณได้ ทั้งนี้ปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แนะนำให้รถทุกคันควรติดสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้ หรือสายจั๊มพ์แบตที่หลายคนเรียกคนเรียก เพราะอย่างน้อยหากรถของคุณเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด แบตหมดกลางทาง คุณก็ยังสามารถขอพ่วงแบตกับรถคันอื่นได้ ไม่ต้องถอดแบตเข้าออก และหากคุณเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่ ควรเลือกแบตเตอรี่ที่ได้รับมาตรฐาน มีชื่อเสียง เลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่ให้ตรงกับของเดิมที่ติดมากับรถ และที่สำคัญเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่เพิ่งผลิตใหม่ เพราะหากเลือกใช้ของเก่าค้างสต็อก อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการใช้แบตเตอรี่รถยนต์ก้อนนั้นลดลงหรือเกิดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมไว
อย่างไรก็ตามหากคุณเจอปัญหารถดับ แบตหมดระหว่างทาง การทำประกันรถชั้น 1* จะช่วยให้คุณขับขี่รถได้อย่างมั่นใจ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บริษัทประกันจะมีบริการเหลือฉุกเฉินตามกรมธรรม์ของคุณ สนใจทำการประกันรถยนต์ คลิก
*เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด