เนื้อหาของบทความ

ดอกยาง รถมีไว้เพื่อยึดเกาะถนนและช่วยรีดน้ำขณะขับรถเมื่อถนนเปียก เพื่อให้หน้ายางสามารถสัมผัสถนนได้ รถไม่ลื่นออกถนนช่วยให้การเดินทางปลอดภัยขึ้น ทั้งนี้หากใครเคยสังเกตยางของรถแต่ละคัน พบว่าดอกยางมีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งประเภทของดอกยางมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท วันนี้เราจะพามารู้จักกับดอกยางรถแต่ละประเภทค่ะ

ดอกยาง รถยนต์มีกี่ประเภท

จากบทความเรื่องยางรถยนต์ที่คนมีรถยนต์ต้องรู้ เราจะเห็นว่ายางรถยนต์มีความสำคัญต่อการเดินทางและความปลอดภัย ทั้งนี้เราจะมาลงลึกในรายละเอียดของดอกยางรถยนต์ ซึ่งเราเห็นเป็นลายของยางรถยนต์ ดอกยางรถยนต์ ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามของยางรถยนต์ แต่ดอกยาง คือส่วนบริเวณบนหน้ายางที่สัมผัสถนนตลอดเวลาที่รถวิ่ง เพื่อช่วยในการยึดเกาะถนนและช่วยรีดน้ำขณะขับรถเมื่อถนนเปียก หน้ายางนี้จะทำหน้าที่กระจายแรงทั้งหมดไปยังทิศทางต่าง ๆ แต่ก็ยังมีดอกยางของรถยนต์บางประเภทที่ไม่มีดอกยางรถยนต์ เรียกยางประเภทนี้ว่า Slick ใช้ในการแข่งขันทางเรียบ ความเร็วสูงและพื้นถนนต้องแห้งสนิท นอกจากดอกยางแล้วเรายังเห็นร่องยาง ร่องยางคือร่องที่ลึกลงไปจากหน้ายางหรือร่องที่อยู่ระหว่างยาง ทำหน้าที่รีดน้ำเมื่อขับรถบนถนนที่ลื่น ถ้าหากร่องยางตื้น หรือดอกยางหมด หรือบางคนเรียกว่าดอกยางโล้น จะทำให้ยางรีดน้ำได้น้อยลง เพราะผิวสัมผัสของหน้ายางลดลง ทั้งนี้ลายดอกยางยังมีองค์ประกอบของลายดอกยาง ซึ่งมีส่วนช่วยให้รีดน้ำได้ดีขึ้น ได้แก่

1.บล็อกดอกยาง  ส่วนหน้ายางรถที่ยกนูนเพื่อสัมผัสกับพื้นผิวถนนโดยตรง

2.แนวดอกยาง แนวของบล็อกดอกยางที่เรียงตัวต่อเนื่องไปตามเส้นรอบวงของยาง

3.ร่องดอกยางเล็ก  ร่องเล็กมีลักษณะเป็นลวดลายอยู่ในบล็อกดอกยาง เพิ่มขอบฟันปลาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะถนน

4.ร่องดอกยางละเอียด ช่องต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นลวดลายอยู่ตามดอกยาง เพื่อช่วยรีดน้ำออกจากตัวยาง

5.ร่องยาง เป็นแนวร่องตามเส้นรอบวงของยางอยู่ระหว่างแนวดอกยาง

ทั้งนี้ดอกยางรถยนต์นั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 แบบ ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามการใช้งาน ดังนี้ 

ดอกยางละเอียด (Rib pattern)

ลักษณะของดอกยางละเอียดนี้ คือมีดอกยางและร่องยางเป็นแนวแถวเส้นรอบวงของยาง และมีรูแบบเรียงตัวของร่องยาง ตามการออกแบบของบริษัทผู้ผลิต โดยทั่วไปแล้ว เน้นให้ยางใช้งานได้ดีในสภาพถนนเรียบ

ดอกบั้ง (Lug pattern)

ลักษณะของดอกยางดอกบั้งนี้ ดอกยางและร่องยางเป็นแนวขวาง กับเส้นรอบวงของยาง ซึ่งการออกแบบยางเช่นนี้ต้องการประสิทธิภาพในการตะกุย อีกทั้งร่องยางมีความลึก ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสำหรับใช้งานบนถนนที่ขรุขระ และทางเรียบในความเร็วต่ำ และปานกลาง

ดอกแบบผสม (Rib lug pattern)

ลักษณะของดอกยางแบบผสม เป็นการผสมจุดเด่นของยางทั้งสองแบบ โดยดอกละเอียดจะอยู่ตรงกลาง โดยมีดอกบั้งอยู่รอบนอกทั้งสองด้าน

ดอกแบบบล็อก (Block pattern)

ลักษณะของดอกยางแบบบล็อก มีลักษณะเป็นจุด หรือก้อน อาจมีรูปทรงแบบวงกลม หรือเหลี่ยมก็ได้ ให้แรงตะกุยสูง เหมาะสำหรับใช้งานแบบออฟโรดทั้งลุยโคลนและทราย

นอกจากประเภทของดอกยางทั้ง 4 ประเภทแล้ว ยังสามารถแยกประเภทของดอกยางตามลักษณะของดอกยางรถยนต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทิศทางและการเรียงของดอกยาง ดังนี้

1.ดอกยาง 2 ทิศทาง (Non Directional) เป็นลักษณะของดอกยางที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสลับยางได้ทุกตำแหน่ง เพื่อการใช้งานที่นานขึ้น เนื่องจากดอกยางมีลักษณะสวนทางกัน

2.ดอกยางทิศทางเดียว (Directional) ดอกยางจะมีลักษณะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่แก้มยางจะมีสัญลักษณ์ลูกศรแสดงไว้ สำหรับแสดงทิศทางการหมุนเพื่อให้สามารถใส่ยางได้อย่างถูกต้อง ดอกยางในลักษณะนี้จะมีจุดเด่นคือสามารถรีดน้ำได้ดีกว่าดอกยางแบบสองทิศทาง

3.ดอกยางแบบไม่สมมาตรหรืออสมมาตร (Asymmetric) เป็นลักษณะของดอกยางที่มีลายดอกยางทั้งสองฝั่งไม่เหมือนกัน ลายดอกยางด้านในและด้านนอกมีความแตกต่างกัน  เนื่องจากถูกออกแบบเพื่อให้หน้ายางด้านในมีประสิทธิภาพสูงสุดในการขับทางตรง และเมื่อใช้ความเร็วสูง ในขณะที่ดอกยางด้านนอกจะให้การยึดเกาะถนนได้ดีเมื่อเข้าโค้ง จึงทำให้เหมาะสำหรับที่มักเข้าโค้งที่ความเร็วสูง เมื่อใส่ยางควรสังเกตตัวหนังสือ Outside และ Inside บนแก้มยางแต่ละด้านโดยต้องให้ด้านที่มีตัวหนังสือ Outside อยู่ด้านนอก

เช็คดอกยางรถยนต์ด้วยตัวเอง  

เพราะดอกยางรถยนต์มีความสำคัญต่อการขับขี่รถไม่แพ้กับส่วนอื่นของรถ เพราะส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นผิวถนนตลอดเวลา ทั้งนี้เมื่อมีการใช้งานรถยนต์ทุกวัน ดอกยางรถยนต์จะมีความสึกหรอ ดอกยางตื้นขึ้น เหมือนกับรองเท้าของเราที่ใส่ทุกวัน ใส่เป็นประจำจนทำให้พื้นรองเท้าสึก ดอกหมด หากไม่เปลี่ยนคู่ใหม่ก็จะทำให้เวลาเราเดินเหินไปไหนก็อาจจะลื่นล้ม ทั้งนี้เราสามารถเช็คความสึกของดอกยางรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองได้ ด้วยการตรวจสอบความลึกของดอกยางง่าย ๆ ดังนี้

ตรวจสอบความลึกของดอกยางด้วยการใช้เหรียญบาท

วิธีแรกแค่นำเหรียญบาทมาวางลงในช่องระหว่างดอกยาง สังเกตความสูงของดอกยางเมื่อเทียบกับขนาดของเหรียญบาท หากดอกยางรถยนต์ต่ำกว่าบริเวณเหรียญประมาณ 1/3 หมายถึง ดอกยางรถยนต์เหลือน้อย ใกล้หมดแล้ว ควรได้รับการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่

ใช้ไม้บรรทัดในการวัดความสูงของดอกยาง

นอกจากการใช้เหรียญแล้ว ยังสามารถวัดความสูงของดอกยาง โดยการนำไม้บรรทัดวางลงไปในรูปแบบตั้งฉากกับตัวยาง  หากความสูงของดอกยางต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร หมายถึง ดอกยางรถยนต์ของคุณเหลือน้อยใกล้หมด ควรได้รับการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่

สะพานยาง 

สะพานยาง มีหน้าที่หลักในการช่วยวัดความสูงของดอกยางโดยตรง โดยสะพานยางนั้นจะอยู่บริเวณร่องยาง และแก้มยาง ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นว่าความสูงของดอกยางนั้นลดลง อยู่ใกล้เคียงหรือเหลือน้อยกว่าสะพานยางแล้ว แสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่

สังเกตเสียงและลักษณะของยางขณะขับรถ

ในขณะที่ขับรถลองฟังเสียงว่าเสียงของยางดังหรือไม่ รวมไปถึงความนุ่มนวลของการขับขี่หากรู้สึกว่าการขับรถไม่นุ่มนวล แข็ง รวมไปถึงมีเสียงดังที่ยางรถยนต์ อาจเกิดจากยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ ดอกยางเหลือน้อยทำให้ไม่สามารถรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่ได้ดีเหมือนก่อน หากเกิดอาการในลักษณะนี้ควรเช็คดอกยางรถยนต์และยางรถยนต์ด้วย

ช่วงความลึกของดอกยางที่ควรรู้

ความลึกของดอกยางที่เหลือน้อย ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ เรามาดูกันว่าความลึกของดอกยางเท่าไหร่จึงปลอดภัยหรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่แล้ว

8 mm. (ขึ้นไป) ยางรถยนต์ที่มีสภาพใหม่ ใช้งานได้อย่างปลอดภัย 

4-5 mm. ดอกยางหมดแล้วประมาณ 50% สามารถใช้งานได้ต่อแต่ควรหมั่นตรวจเช็ค  

3 mm. ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้ว หากยังไม่มีการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ จะต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะถนนเปียก (ขึ้นอยู่กับยางรถยนต์แต่ละยี่ห้อ)

1.6 mm. (หรือน้อยกว่า) สภาพดอกยางหมดเกือบ 100% ถือเป็นยางหมกสภาพ ไม่ควรใช้ต่อ ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่

วิธีอ่านขนาดยางรถยนต์อ่านอย่างไร

นอกจากดอกยางรถที่เราได้อธิบายไปแล้วข้างต้น เคยสังเกตที่แก้มยางรถยนต์หรือไม่ว่า จะมีตัวเลขและตัวอักษรปรากฏอยู่ซึ่งตัวเลขและตัวอักษรเหล่านี้คือ ขนาดยางรถยนต์ เชื่อว่าผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งอาจจะทราบความหมายของตัวเลขและอักษรเหล่านี้ แต่ก็ยังมีผู้ขับขี่บางท่านที่อาจจะไม่เข้าใจความหมายหรือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวเลขบนแก้มยางรถยนต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกขนาดยางรถยนต์ และขอบเขตการใช้งานของยางรถยนต์นั้น ๆ โดยบทความนี้เราจะมาสอนอ่านขนาดยางรถยนต์ เพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าใจความหมายของตัวเลขและตัวอักษรได้มากยิ่งขึ้น โดยยางรถยนต์ทั่วไปจะมีชุดตัวเลข 4 หลักที่แก้มยาง และชุดตัวเลขตัวอักษรอีกชุด โดยที่แต่ชุดมีความหมายดังนี้

ตัวอย่างตัวเลขบนแก้มยาง 215/45 R17 91W

215 ความกว้างของยาง

45 ความสูงของยาง (ซีรีย์%)

R ชนิดของยาง (เรเดียล)

17 เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ (นิ้ว)

91 พิกัดรับน้ำหนักบรรทุก (กก)

W อัตราความเร็วที่ยางรับได้ (km/h)

0500 สัปดาห์ที่เท่าไหร่ของปีและปีค.ศ.ที่ผลิตยาง (เลข 4 หลักที่แก้มยาง)

สำหรับชุดตัวเลข 4 หลักนี้ จะบอกวันที่ผลิตยางรถยนต์ ซึ่ง 2 ตัวแรก บอกสัปดาห์ที่ผลิต และ 2 ตัวหลัง บอกปีที่ผลิต จากรูปภาพ คือ ยางผลิตสัปดาห์ที่ 5 ของปี ค.ศ.2000 นั่นเอง นอกจากนี้เมื่อคุณสามารถอ่านขนาดของยางรถยนต์และปีที่ผลิตแล้ว ยังทำให้คุณรู้อายุของยางรถยนต์อีกด้วย ซึ่งปกติแล้วยางรถยนต์ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี หรือ 40,000 กม. หากครบ 5 ปีแล้วแนะนำให้เปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากจะทำให้เรารู้ขนาดยางรถยนต์ ปีที่ผลิตและอายุยางรถยนต์แล้ว เวลาที่เราอาจจำเป็นต้องซื้อยางรถยนต์มือสองใช้ คุณก็สามารถดูปียางรถยนต์ได้ เพื่อจะได้ไม่ถูกย้อมแมวขาย เพราะบางร้านมีการย้อมแมวขายยางรถเก่าโดยอ้างว่าเป็นยางรถยนต์ปีใหม่ โดยการขัดข้อมูลรหัสปียางรถยนต์ออก แล้วปั๊มเข้าไปใหม่ ให้ตัวเลขเป็นปัจจุบันมากที่สุดนั่นเอง เห็นหรือไม่ว่าแค่คุณสามารถอ่านรหัสบนแก้มยางรถยนต์ ทำให้คุณรู้ว่าขนาดยางรถยนต์เท่าไหร่ ผลิตปีไหน และยางมีอายุการใช้งานเท่าไหร่แล้ว เวลาที่คุณจำเป็นต้องซื้อยางรถยนต์มือสองมาใช้จะได้ไม่โดนหลอกอีกด้วย 

ทั้งนี้เราจะเห็นว่ารถแต่ละรุ่นมีขนาดยางรถยนต์ที่แตกต่างกัน เพราฉะนั้นการเลือกขนาดยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถและการใช้งานจึงช่วยให้การเดินทางมีความนุ่มนวล ปลอดภัย ลดแรงกระแทก ลดความเสียหายของช่วงล่าง และยังช่วยประหยัดน้ำมันรถอีกด้วย ในการเลือกขนาดยางรถยนต์มีหลักเกณฑ์ในการเลือกดังนี้

การคำนวณขนาดยางรถยนต์

การคำนวณขนาดยางรถยนต์จะช่วยให้คุณสามารถเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของคุณรวมไปถึงไลฟ์สไตล์การใช้งานรถ ทั้งนี้การคำนวณขนาดยางรถยนต์สามารถคำนวณได้ 2 แบบ ได้แก่

ขนาดยางรถยนต์แบบเมตริก

ตัวเลข 3 หลัก แสดงความกว้างยางเป็น มม. เช่น 205/45R17

205 หมายถึง หน้ายางกว้าง 205 มิลลิเมตร

45 หมายถึง อัตราความสูงแก้มยาง  45% (ซีรีย์)

17 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 17 นิ้ว

สูตรการหาความกว้างแก้มยาง

หน้ายาง*(อัตราความสูงแก้มยาง/100)

205*(45/100)

= 92.25 มม. หรือ 3.6 นิ้ว (92.25*25.4),1 นิ้ว = 25.4 มม.

ขนาดยางรถยนต์แบบนิ้ว

ตัวเลข 2 หลัก แสดงเส้นผ่าศูนย์กลางยาง เช่น 31*10.5R15

31 หมายถึง ความสูงของยาง 31 นิ้ว

10.5 หมายถึง หน้ายางกว้าง 10.5 นิ้ว

15 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 15 นิ้ว

สูตรการหาความกว้างแก้มยาง

ความสูง – ขอบล้อ/2

(31-15)/2 = 8 นิ้ว

สูตรการหาอัตราความสูงแก้มยาง (ซีรีย์) ของยาง

(แก้มยาง/หน้ายาง)

8/10.5 = 76% หรือ ซีรีย์ 76

เติมลมยางรถยนต์ เท่าไหร่จึงจะดีกับรถคุณ

เชื่อว่าผู้ขับขี่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่ายางรถยนต์ที่ตนเองใช้อยู่ต้อง เติมลมยางรถยนต์ เท่าไหร่กันแน่ เพราะทุกครั้งที่มีการเติมลมยางรถยนต์ อาจจะไม่ได้เติมเองบ้าง หรือฟังจากคนอื่นว่าต้องเติมลมยางรถยนต์เท่าไหร่โดยที่การเติมลมยางรถยนต์แต่ละประเภท จะมีแรงดันลมยางที่ไม่เท่ากัน โดยปกติการเติมลมยางรถยนต์ ประเภทรถเก๋งจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้ามีการบรรทุกหรือมีผู้โดยสารเต็มคันรถ จะอยู่ที่ประมาณ  33-35 PSI  ส่วนรถกระบะ จะเติมลมยางรถยนต์ล้อหน้าอยู่ที่ 36-38 PSI  ล้อหลัง  40-42 PSI หรือหากมีการบรรทุกของเต็มท้ายรถ  47-51 PSI  แต่หากจำแนกประเภทรถออกมา จะพบว่าการเติมลมยางรถยนต์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้

รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมแรงลมที่ 25 – 30 ปอนด์

รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมแรงลมที่ 30 – 35 ปอนด์

รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมแรงลมที่ 35 – 40 ปอนด์

รถตู้บรรทุก 7 – 10 คน ควรเติมแรงลมที่ 43 – 55 ปอนด์

โดยความถี่ในการเติมลมยางรถยนต์นั้น ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเติมเมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานรถบ่อยแค่ไหน ปกติแล้วลมยางรถยนต์จะลดลง 2-3 PSI ในหนึ่งเดือน หากไม่ค่อยได้ขับขี่รถบ่อยควรเติมลมยางรถยนต์ เดือนละครั้งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ควรหมั่นตรวจสอบเช็กลมยางรถยนต์อยู่เสมอจึงจะดีที่สุด

การเติมลมยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง ส่งผลเสียอย่างไร

บ่อยครั้งที่เติมลมยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง หรือปล่อยให้ยางแบนอยู่บ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหายางรถยนต์รั่ว หรือยางระเบิด เพราะความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถอีกด้วย นอกจากนี้การเติมลมยางรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง จะผลเสียอะไรได้อีกบ้าง

1.หากแรงดันยางรถยนต์มีน้อยเกินไป

หากมีการเติมลมยางรถยนต์น้อยเกินไป หรือขับรถแบบลมยางอ่อน ยางแบน มีความเสี่ยงที่จะทำให้ยางรถยนต์ระเบิดง่ายขึ้น เพราะเนื้อยางที่ผิดรูปจะเสียดสีกับผิวถนนมาก จนเกิดแผลที่แก้มยาง โอกาสที่ยางรถยนต์จะระเบิดจากความร้อนสะสมในยางรถยนต์จึงมีสูงมาก

2.หากแรงดันยางรถยนต์มีมากเกินไป

หากมีการเติมลมยางรถยนต์มากเกินไป จะทำให้ยางรถยนต์แข็ง เกาะถนนไม่ดีนัก อาจจะเป็นอันตรายในการขับขี่ทำให้รถเบรกไม่อยู่ ยางไม่เกาะถนนทำให้ลื่นได้ง่าย ยิ่งในช่วงหน้าฝนจะเกิดอันตรายได้ง่าย

ดอกยางรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยการเดินทางมีความปลอดภัย โดยเฉพาะการขับรถบนถนนที่เปียก เพราะดอกยางรถยนต์จะช่วยในการยึดเกาะถนนและช่วยรีดน้ำขณะขับรถเมื่อถนนเปียก ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถเช็คสภาพของดอกยางรถยนต์ว่าสามารถใช้งานต่อได้หรือต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ โดยการเช็คความลึกของดอกยางได้ด้วยตัวเองตามวิธีที่เราได้แนะนำไปแล้วข้างต้น ทั้งนี้ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญ  นอกจากการทำพ.ร.บ.เพื่อเป็นหลักประกันความคุ้มครองของผู้ขับขี่แล้ว การทำประกันรถยนต์ยังมีส่วนช่วยเพิ่มความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่าการทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียว เพราะการทำประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองทั้งคน รถ และความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุรถชนด้วย  แนะนำเลือกประกันรถยนต์ที่เฮงลิสซิ่ง ซื้อง่าย ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน สนใจคลิก