เนื้อหาของบทความ

ไม่ว่าใครก็เคยเป็น มือใหม่หัดขับ เริ่มต้นการเป็นมือใหม่หัดขับ หลายคนต้องผ่านการเรียนรู้วิธีหัดขับรถ ปัญหาของมือใหม่หัดขับ หรืออาจเคยเกิดความกังวลในขณะที่ฝึกหัดขับรถ หรือแม้กระทั่งเมื่อหัดขับเป็นแล้ว ก็ยังเกิดความกังวลขณะออกถนนใหญ่ วันนี้เราจึงได้แนะนำ 12 เรื่องที่ต้องรู้สำหรับมือใหม่หัดขับมาฝากกันค่ะ

เทคนิคและมารยาทบนท้องถนนที่ มือใหม่หัดขับ ต้องรู้

ไม่ว่าใครก็เคยเป็น มือใหม่หัดขับ กันทั้งนั้น เริ่มต้นการเป็นมือใหม่หัดขับ หลายคนต้องผ่านการเรียนรู้วิธีหัดขับรถบางคนเริ่มต้นเป็นมือใหม่หัดขับจากเกียร์ธรรมดา หรือบางคนเริ่มต้นมือใหม่หัดขับด้วยเกียร์ออโต้หรือเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งเกียร์แต่ละแบบก็มีความยาก ง่ายแตกต่างกันไปแต่สมัยนี้เชื่อว่ามือใหม่หัดขับหลายคนอาจจะเลือกรถเกียร์ออโต้เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน  ซึ่งเทคนิคในการฝึกขับรถอย่างไรให้เป็นเร็ว เราจะได้กล่าวในเนื้อหาต่อไป แต่เคยสังเกตกันหรือไม่ว่าบ่อยครั้งปัญหาหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนมักจะมาจากความประมาท การไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับเพื่อนร่วมทาง หรือขาดมารยาทในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ทำให้เกิดปัญหาหรืออุบัติเหตุบนท้องถนนที่เรามักเห็นกันในข่าวมานับต่อนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดขับหรือมือเก่าขับมานาน ก็อาจจะขาดมารยาทในการขับขี่จนอาจเกิดปัญหาบนท้องถนนในภายหลังได้ ทั้งนี้การเรียนรู้เทคนิคและมารยาทบนท้องถนน จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นมือใหม่หัดขับ เพื่อให้เห็นความสำคัญของมารยาทการขับขี่รถ เพราะเมื่อนำรถออกไปใช้ในชีวิตจริงแล้ว จะได้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง  ไม่เกิดปัญหาผิดใจกันในภายหลัง  โดยมีแนวทางในการปฏิบัติเรื่องของงมารยาทบนท้องถนนมาฝากสำหรับกันค่ะ

การขับรถสวนทางกัน

1.ให้ขับรถชิดซ้ายโดยถือกึ่งกลางของทางเดินรถเป็นหลักแต่ถ้าได้จัดแบ่งช่องเดินรถไว้ให้ถือเส้นหรือแนวที่แบ่งนั้นเป็นหลัก

2.ในทางเดินรถที่แคบ เมื่อขับรถสวนทางกัน ให้ผู้ขับขี่แต่ละฝ่ายลดความเร็วของรถ เพื่อให้รถสวนทางกันได้โดยปลอดภัย

3.สำหรับทางเดินรถที่แคบซึ่งไม่อาจขับรถสวนกันได้ ผู้ขับรถคันใหญ่กว่าต้องหยุดรถชิดขอบทางเดินรถด้านซ้าย เพื่อให้ผู้ขับรถคันเล็กว่าผ่านไปก่อน

4.เมื่อมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า ให้ลดความเร็วของรถหรือหยุดรถ เพื่อให้รถคันที่สวนมาผ่านไปได้

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก

1.ถ้ามีรถอื่นอยู่ในระหว่างทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน

2.ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางดินรถทางเอกตัดผ่านทางรถทางเอกตัดผ่านเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน

3.ถ้าสัญญาณไฟเขียวปรากฏข้างหน้า แต่ในทางร่วมทางแยกมีรถหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านไปได้ ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถที่หลังเส้นให้รถหยุดจนสามารถเคลื่อนรถผ่านไปได้

การขับรถผ่านวงเวียน

1.ในกรณีมีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรนั้น

2.ถ้าไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน

3.ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร จะให้สัญญาณเป็นอย่างอื่น ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรพนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด

มารยาทในการขับขี่สำหรับมือใหม่หัดขับ

ในฐานะที่ต่างคนต่างใช้ถนนหนทางร่วมกัน อย่างน้อยการทำตามกฎหมายจราจรและมีมารยาทให้การขับขี่ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมทางอีกด้วย มารยาทเบื้องต้นที่มือใหม่หัดขับหรือผู้ขับขี่ควรมีขณะใช้รถใช้ถนนมีดังนี้

1.หยุดรถให้คนข้ามตรงทางม้าลาย

2.ไม่ขับรถแช่ขวา

3.รักษาระยะห่างจากคันหน้า

หากคุณขับรถมาด้วยความเร็วปกติ ควรจะเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ประมาณ 100 เมตร ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. และ 80 เมตร ที่ความเร็ว 80 กม./ชม.เพื่อให้คุณมีระยะเบรกรถได้ทัน

4.ไม่ควรเปิดไฟสูงขณะที่ขับรถสวนกับคันอื่น

5.ให้สัญญาณไฟก่อนแซง

6.ไม่ขับรถตัดหน้าคันอื่น

7.มองกระจกหลัง ให้สัญญาณไฟ รอให้รถคันอื่นไปแล้ว จึงจะเปลี่ยนเลนรถได้

มารยาทในการใช้ความเร็วเท่าไหร่ ตามกฎหมายกำหนด

ข้อกำหนดในการใช้ความเร็วบนทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ที่มีทางเดินรถแบบจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถ มีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น (Barrier Median) และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ดังนี้

1.รถยนต์ วิ่งไม่เกิน 120 กม./ชม.

2.รถเลนขวาสุด วิ่งไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. ส่วนรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กก. หรือรถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน วิ่งได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.

  1. รถจักรยานยนต์ วิ่งไม่เกิน 80 กม./ชม.
  2. รถจักรยานยนต์ 400 cc (บิ๊กไบค์) ขึ้นไปวิ่งไม่เกิน 110 กม./ชม.
  3. รถโรงเรียน วิ่งไม่เกิน 80 กม./ชม.
  4. รถโดยสาร 7-15 คน วิ่งไม่เกิน 100 กม./ชม.
  5. รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถใช้งานเกษตรกรรม วิ่งไม่เกิน 45 กม./ชม.
  6. รถลากจูง รถสี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ วิ่งไม่เกิน 65 กม./ชม.

เรียนรู้เทคนิคการขับรถเพิ่มเติมที่นี่ คลิก 

กฎหมายจราจรที่ควรรู้

มือใหม่หัดขับหรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนจำเป็นจะต้องรู้กฎหมายจราจร หากฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับ นอกจากนี้ก็ยังเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทางอีกด้วย สำหรับกฎหมายจราจร 10 ข้อมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

1.พกใบอนุญาตขับรถและเอกสารสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถ

ผู้ขับขี่จะต้องพกใบอนุญาตขับรถ หรือใบขับขี่ หากผู้ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับรถ มีความผิดจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือสามารถแสดงใบขับขี่รถยนต์อิเล็กทรอนิกส์แทนใบขับขี่ตัวจริง ให้แก่เจ้าหน้าที่เมื่อถูกขอเรียกดูได้ รวมไปถึงเอกสารสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถติดรถไว้ หากไม่มีจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 โดยมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

2.เมาไม่ขับ

กฎหมายบังคับให้ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะต้องมีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถ้าเกินระดับถือว่าเมามีโทษปรับตามกฎหมาย โดยผู้ที่เมาแล้วขับจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.รัดเข็มขัดทุกคน

รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง รถแท็กซี่ รถตู้ รถกระบะ ยกเว้นรถรถสองแถว รถกระบะมีแคปและรถสามล้อเครื่อง จะต้องมีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งและต้องคาดเข็มขัดทุกคน หากฝ่าฝืน รถเก๋ง รถแท็กซี่ รถกระบะ ปรับไม่เกิน 500 บาท ส่วนรถบรรทุกสินค้า รถตู้ รถทัวร์ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4.ห้ามนั่งกระบะหลัง

เนื่องจากกระบะหลังไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัย กฎหมายจึงมีการบังคับไม่ให้นั่งกระบะท้าย หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

5.ห้ามใส่หลังคา Sunroof/Moonroof

รถที่มีการติดตั้งมาจากโรงงานแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้านำมาติดตั้งเองภายหลังถือเป็นการดัดแปลง มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

6.ไฟเบรกสีแดงเท่านั้น

รถทุกคันจะต้องมีไฟหยุดหรือที่เรียกกันว่าไฟเบรก โดยจะต้องมีสีแดงเท่านั้น ห้ามใช้สีอื่น หรือดัดแปลงเป็นไฟกระพริบ เพราะอาจจะสร้างความเข้าใจผิดกับผู้ขับขี่คนอื่นได้ หากฝฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

7.ห้ามล้อยางเกินนอกบังโคลน

ล้อรถด้านท้ายยื่นออกมาได้ไม่เกิน 15 ช.ม. ส่วนขอบยางด้านนอกสุดห้ามยื่นออกมาเกินตัวถังรถ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

8.ห้ามท่อไอเสียดัง     

รถที่นำมาใช้ขับขี่บนท้องถนนจะต้องมีความดังไม่เกิน 95 เดซิเบล เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและรบกวนผู้อื่น หากถูกปรับจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

9.ห้ามไฟหน้าหลายสี

ไฟหน้าจะต้องเป็นสีขาวหรือสีเหลือง กำลังไฟไม่เกิน 10 วัตต์ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

10.ไฟตัดหมอกใช้เมื่อจำเป็น

หากฝนตกหนัก หมอกลงจัด ขับผ่านกลุ่มควัน สามารถใช้ไฟตัดหมอกได้ หากใช้นอกเหนือเหตุจำเป็นดังกล่าวมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

เรียนรู้กฎหมายจราจรที่ควรรู้เพิ่มเติมที่นี่ คลิก

เทคนิคหัดขับรถให้เป็นเร็วสำหรับมือใหม่หัดขับ

การขับรถเป็นทักษะพื้นฐานอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และยังเป็นทักษะพื้นฐานของการสมัครงานในสายงานบางอาชีพ มือใหม่หัดขับหลายคนอาจกำลังมองหาวิธีหัดขับรถให้เป็นเร็วโดยการให้สมาชิกในครอบครัวเป็นคนสอน หรือ วิธีหัดขับรถให้เป็นเร็ว อีกแบบคือ การไปเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถ ส่วนใครที่อยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง วิธีหัดขับรถให้เป็นเร็ว จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้ได้และกล้าที่จะออกถนนใหญ่โดยไม่ต้องรอใครมาสอน วันนี้เราได้นำวิธีหัดขับรถให้เป็นเร็ว ไม่ต้องง้อให้ใครสอน

รู้จักกับรถยนต์ของคุณก่อน

ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีหัดขับรถให้เป็นเร็วขึ้นนั้น คุณจะต้องรู้จักกับรถยนต์ที่คุณจะใช้ก่อน เรียนรู้ระบบการทำงานของรถ สำรวจว่าอุปกรณ์แต่ละอย่างภายในรถอยู่ตรงไหน ใช้งานอย่างไร ลองใช้อุปกรณ์ภายในรถให้คล่อง การเบรก การลงน้ำหนักเหยียบคันเร่ง สรุปแล้วเป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงาน การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถให้คล่องแคล่ว

เริ่มต้นหัดขับรถในซอย

มือใหม่หัดขับรถควรจะเริ่มหัดขับรถในซอยรถน้อย หรือลานกว้าง เริ่มจากการหัดขับรถช้า ๆ ฝึกการควบคุมรถให้คล่องก่อน ขับรถให้อยู่ในเลน ฝึกการเลี้ยว ฝึกการมองกระจกมองหลัง กระจกมองข้าง การเปิดไฟสัญญาณ การควบคุมพวงมาลัย เมื่อเริ่มคล่องมากขึ้นแล้ว ลองเหยียบคันเร่งเบา ๆ เลี้ยวรถด้วยความเร็วคงที่ ลองใช้เบรก ฝึกบ่อย ๆ จะทำให้มือใหม่หัดขับสามารถกะน้ำหนักเท้า และมีทักษะในการควบคุมรถมากยิ่งขึ้น

ฝึกขับรถในที่แคบ

นอกจากการขับรถในซอยแล้ว การขับรถในที่แคบ หรือ ทางโค้งเยอะ วิธีนี้จะช่วยให้มือใหม่หัดขับสามารถกะระยะและควบคุมความเร็วได้ชินมือและมีความชำนาญมากขึ้นกว่าเดิม การขับรถในที่แคบจะต้องใช้ความเร็วที่ไม่สูงมากนัก มีสมาธิ หูตาไว หากฝึกหัดขับรถในที่แคบหรือทางโค้งเยอะได้ เชื่อว่าการลงสนามจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ออกถนนใหญ่

มือใหม่หัดขับหลายคนอาจจะเริ่มเกิดความกังวล ประหม่า หรือตื่นเต้นในการออกถนนใหญ่ แต่การออกถนนใหญ่เป็นอีกวิธีหัดขับรถให้เป็นเร็วขึ้นเริ่มต้นขับรถในเลนซ้ายก่อน จากนั้นเพิ่มความเร็วให้เหมาะกับสถานการณ์ หมั่นมองกระจกมองหลัง กระจกมองข้างให้ชิน

ฝึกการแซงรถคันหน้า

เริ่มชินกับการขับรถบนท้องถนนแล้ว มือใหม่หัดขับลองฝึกเปลี่ยนเลนหรือแซงคันข้างหน้า หากรถคันข้างหน้าขับช้ากว่า ให้ทำการผ่อนคันเร่งลงเพื่อเพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้า จากนั้นเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา มองกระจกข้างขวาเพื่อดูว่ามีรถอยู่เลนขวาหรือไม่ หากไม่มีให้เหยียบคันเร่งเพิ่มพร้อมกับหักพวงมาลัยไปทางขวาเล็กน้อย หากสามารถเปลี่ยนเลนได้แล้วให้มองกระจกข้างซ้าย เปิดไฟเลี้ยวและเปลี่ยนเลนกลับมาเลนเดิม

วิธีขับรถเกียร์ธรรมดา

หลายคนเชื่อว่าการวิธีขับรถเกียร์ธรรมดาเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตาร์ทรถ อย่างไรก็ตามหากคุณสามารถขับรถเกียร์ธรรมดาเป็นแล้ว ย่อมเป็นพื้นฐานของการขับรถประเภทอื่นได้เช่นเดียวกันค่ะ

การควบคุมรถ

 การควบคุมรถยนต์เกียร์ธรรมดามือใหม่หัดขับหลายคนอาจจะมองว่ามีความยาก ซับซ้อน กว่ารถยนต์เกียร์ออโต้มากพอสมควร แต่สำหรับใครที่ต้องการขับรถสนุก ขับมันส์  ควบคุมความเร็วได้ดั่งใจ การเรียนรู้วิธีขับรถเกียร์ธรรมดา จึงเป็นตัวเลือกที่ใช่ที่สุด โดยในการควบคุมรถเกียร์ธรรมดา จะต้องรู้จักกับ 2 สิ่งนี้

1.คลัตช์

คลัตช์ ทำหน้าที่ควบคุมการประสานงานระหว่างเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์รถ ถ้ารถเกียร์ธรรมดาไม่มีคลัตช์ ผู้ขับขี่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้

2.คันเกียร์

คันเกียร์ แท่งเกียร์ หรือคันเกียร์ เป็นคันโยกเพื่อใช้สำหรับในการเข้าเกียร์เพื่อเดินหน้าหรือถอยหลังรถ

การสตาร์ทรถ

ในการสตาร์ทเครื่องรถยนต์เกียร์ธรรมดาบางรุ่นจะต้องมีการเหยียบคลัตช์ก่อนจึงจะสามารถสตาร์ทรถได้ หลังจากที่สตาร์ทรถแล้ว ให้เหยียบเบรกและปลดเบรกมือ หากต้องการเดินหน้ารถ ก็ให้เหยียบคลัตช์ก่อน จากนั้นเลื่อนคันเกียร์ไปที่ 1 จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่งไปพร้อมกัน หากต้องการถอยหลังก็ทำแบบเดียวกันนี้แต่เลื่อนคันเกียร์ไปที่ R

การเปลี่ยนเกียร์และเพิ่มความเร็ว

หากต้องการเดินหน้ารถ ก็ให้เหยียบคลัตช์ก่อน จากนั้นเลื่อนคันเกียร์ไปที่ 1 จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่งไปพร้อมกัน หากต้องการถอยหลังก็ทำแบบเดียวกันนี้แต่เลื่อนคันเกียร์ไปที่ R จะเห็นว่าเมื่อทำการเปลี่ยนเกียร์เท้าซ้ายที่เหยียบคลัตช์และเท้าขวาที่เหยียบคันเร่งจะมีการเหยียบที่สอดรับกัน เมื่อเท้าซ้ายเหยียบลง เท้าขวาจะยกขึ้น แต่เมื่อเท้าซ้ายเริ่มยกขึ้น เท้าขวาจะกดลง โดยในการเปลี่ยนเกียร์ รถแต่ละคันจะมีช่วงความเร็วของแต่ละเกียร์อยู่ ผู้ขับขี่บางท่านจะใช้การฟังเสียงเครื่องยนต์เพื่อกำหนดจังหวะในการเปลี่ยนเกียร์ต่อไปได้ ส่วนหากต้องการเบรกรถ ให้เหยียบคลัตช์และเข้าเกียร์ว่างในขณะที่รถเบรก

การจอดรถ

หากผู้ขับขี่ต้องการจอดรถให้ใช้เกียร์ถอยหรือเกียร์หนึ่ง หลังจากที่ในช่องจอดเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการใส่เกียร์ว่างและดึงเบรกมือเอาไว้เพื่อไม่ให้รถไหลได้

ข้อควรระวังในการเรียนรู้ วิธีขับรถเกียร์ธรรมดา

แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าการขับรถยนต์เกียร์ธรรมดาจะมีความยากกว่า ซับซ้อนมากกว่าเกียร์ออโต้ แต่การเรียนรู้วิธีขับรถเกียร์ธรรมดาก็ยังเป็นพื้นฐานของการขับรถอื่น ๆ ได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็ยังมีข้อควรระวังที่ผู้ขับขี่ควรรู้มีดังต่อไปนี้

1.ก่อนเปลี่ยนเกียร์จะต้องมีการเหยียบแป้นคลัตช์ก่อนทุกครั้ง

2.ใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วของรถ

3.ไม่ควรเหยียบคลัตช์ค้างไว้เมื่อเหยียบคันเร่ง เพราะจะทำให้ผ้าคลัตช์ไหม้ได้

4.ขณะขับรถลงทางลาดชัน ห้ามใช้เกียร์ว่างเด็ดขาด เพราะเครื่องยนต์จะไม่มีแรงหน่วงช่วยเบรกรถได้

5.ต้องให้รถยนต์จอดสนิทก่อน จึงจะสามารถใช้เกียร์ถอยหลังได้

6.หากรถติดบนทางลาดชัน ผู้ขับขี่ควรใส่เกียร์ว่างพร้อมกับการดึงเบรกมือ จากนั้นก่อนออกตัวให้เหยียบแป้นคลัตช์ เบรก และเปลี่ยนเกียร์ และทำการปลดเบรกมือลงแล้วจึงเหยียบคันเร่งเพื่อเดินหน้าต่อ

เรียนรู้เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดาเพิ่มเติมที่นี่ คลิก

วิธีขับรถเกียร์อัตโนมัติ

เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเรียนรู้วิธีขับรถเกียร์ออโต้มากกว่าที่จะเรียนรู้วิธีขับรถเกียร์ธรรมดา เพราะคำนึงถึงเรื่องความสะดวกสบายในการขับขี่รถยนต์เกียร์ออโต้ ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องการเหยียบแป้นคลัทช์เพื่อเข้าแต่ละเกียร์ โดยวิธีขับรถเกียร์ออโต้ ผู้ขับขี่จะต้องเข้าใจการทำงานของเกียร์ในแต่ละเกียร์

ตำแหน่ง P

ตำแหน่งที่อยู่ด้านบนสุดของเกียร์ ใช้สำหรับจอดรถในที่จอดรถ จอดในบริเวณที่ลาดชัน หรือต้องการจอดแบบล็อกล้อรถไม่ให้เคลื่อนที่ได้ หากจะเปลี่ยนเกียร์มาที่เกียร์ P จะต้องทำตอนที่รถหยุดนิ่ง

ตำแหน่ง R

เกียร์ R หรือเกียร์ถอยหลัง รถจะเคลื่อนตัวถอยหลังอย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งและก่อนถอยรถควรใช้ความระมัดระวังอย่างดี เท้าควรคอยแตะเบรกไว้ด้วยป้องกันรถถอยหลังเอง

ตำแหน่ง N

เกียร์ N เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้สำหรับจอดรถไว้ชั่วคราว เช่น จอดติดไฟแดง หรือจอดในห้างสรรพสินค้า เพราะสามารถเข็นรถได้นั่นเอง

ตำแหน่ง D

เกียร์ D เป็นตำแหน่งสำหรับให้รถเคลื่อนตัวไปด้านหน้า เมื่อทำการเหยียบคันเร่ง เกียร์จะเปลี่ยนให้เอง เป็นเกียร์ที่เราไว้สำหรับเดินรถไปข้างหน้า

ตำแหน่ง L

เกียร์ L เหมาะสำหรับการขับรถขึ้น-ลงทางที่สูงชัน โดยเฉพาะตอนลงเขา ต้องใช้ความเร็วต่ำมากจะเป็นการใช้เครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก แต่ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ L กะทันหันทันทีที่ในขณะที่ขับรถมาเร็ว

ตำแหน่ง S

เกียร์ S พบในรถยนต์ระบบเกียร์ออโต้รุ่นใหม่  ช่วยเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ช้าลง เครื่องยนต์ลากรอบมากกว่าปกติ รถจะมีกำลังมากขึ้นในยามจำเป็น เหมาะสำหรับการเร่งแซง

ตำแหน่ง B

เกียร์ B พบในรถยนต์เกียร์ออโต้รุ่นใหม่ มีการทำงานคล้ายเกียร์ L ในการขับขึ้นลงทางชัน ช่วยเบรกในระบบการทำงานด้วยเกียร์

ข้อควรระวังในการเรียนรู้ วิธีขับรถเกียร์ออโต้

แม้ว่าจะรถยนต์เกียร์ออโต้จะมีความสะดวกและง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นขับรถใหม่ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อควรระวังในการขับรถยนต์เกียร์ออโต้ที่มือใหม่หัดขับจำเป็นต้องทำความเข้าใจ เพราะบ่อยครั้งที่อุบัติเหตุทางรถยนต์มักเกิดจากการเข้าเกียร์ออโต้ผิดตำแหน่ง โดยข้อควรระวังที่มือใหม่หัดขับควรรู้มีดังต่อไปนี้

1.ผู้ขับขี่ต้องเหยียบเบรครถทุกครั้งก่อนเข้าเกียร์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการเปลี่ยนเกียร์นั่นเอง

2.ก่อนออกตัวและหลังหยุดรถ ผู้ขับขี่จะต้องดูตำแหน่งเกียร์ของรถและเข้าเกียร์ให้ถูกต้องเสมอ

3.ในการออกตัวรถ ไม่ควรออกรถแบบกระชาก

4.ในขณะที่รถกำลังแล่น ไม่ควรเข้าเกียร์ว่างเด็ดขาด

5.ไม่ควรเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเพื่อเร่งแซงรถคันอื่นบ่อย ๆ 

เรียนรู้เทคนิคการขับรถเกียร์อัตโนมัติเพิ่มเติมที่นี่ คลิก 

สายด่วนรถเสียกลางทาง โทรเบอร์อะไร

คุณอาจจะเคยเจอปัญหารถเสียกลางทาง  รถเสียตอนกลางคืน หรือรถเสียขณะเดินทางไกลไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครดี เราจึงได้รวบรวมสายด่วนรถเสีย เบอร์โทรฉุกเฉิน สำหรับผู้ใช้รถที่ต้องมีติดไว้ในมือถือ หากเกิดรถเสียกลางทาง ก็สามารถโทรไปตามสายด่วนรถเสีย เบอร์โทรฉุกเฉินดังต่อไปนี้ค่ะ

1193 ตำรวจทางหลวง เมื่อมีเหตุบนทางหลวง

1146 กรมทางหลวงชนบท สำหรับเหตุบนทางหลวงชนบท

1554 หน่วยแพทย์กู้ชีพวชิรพยาบาล ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่กรุงเทพ และพื้นที่ใกล้เคียงกรณีมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

199 เจ้าหน้าที่ดับเพลิง กรณีรถยนต์ไหม้

1543 สายตรงทางด่วน

1197 สายด่วนจราจร สามารถสอบถามเส้นทาง เส้นที่จราจรติดขัด หรือไม่สามารถผ่านได้

1644 สวพ. 91 สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นข่าวจราจร ของหาย แจ้งเหตุ แจ้งเตือนเหตุ และช่วยประสานงานให้กับเจ้าหน้าที่

1137 จส 100 ให้บริการเหมือน สวพ. 91

1677 ร่วมด้วยช่วยกัน

1543 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ สามารถสอบถามเส้นทางบนทางด่วน และขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้หากนึกเบอร์ไหนไม่ออกจริง ๆ อย่างน้อยการโทรไปที่เบอร์เหตุด่วนเหตุร้าย 191 หรือ 1190 จะสามารถขอความช่วยเหลือได้ทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

หากรถเสียกลางทางต้องทำอย่างไร เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่ คลิก

ไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ บอกอะไรเราบ้าง

ไฟเตือนเครื่องยนต์ คือ ระบบที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับรถและสถานะของรถ ซึ่งเป็นหนึ่งในไฟเตือนหน้าปัดตรงบริเวณหลังพวงมาลัยรถของคุณ โดยวันนี้เราจะพูดถึง ไฟเตือนเครื่องยนต์ ที่แผงหน้าปัด โดยใช้เพื่อแจ้งให้คนขับทราบถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ของรถคุณได้

ความหมายของสีของไฟเตือน

สีของไฟเตือนหน้าปัดรถที่แตกต่างกันแสดงถึงสถานะของอาการของรถที่แตกต่างกัน  โดยสัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ที่ผู้ใช้รถควรรู้มีดังนี้

1.ไฟเตือนสีแดง – อันตรายต้องหยุดรถทันทีและตรวจสอบหาความผิดปกติตามสัญลักษณ์ที่ปรากฎตามหน้าปัดรถ

2.ไฟเตือนสีเหลือง – สัญญาณการเตือน แต่รถก็ยังสามารถใช้งานได้ปกติ เช่น น้ำมันรถใกล้หมด

3.ไฟเตือนสีเขียว – อุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่

4.ไฟเตือนสีน้ำเงิน – อุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่แต่ไม่ใช่ค่าตั้งต้นจากโรงงาน

จากภาพประกอบสัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถมีความหมายดังนี้

(แถว 1 สีเขียว)

– ไฟตัดหมอก

– ระบบไฟหรี่

– แรงดันน้ำมันเบรก

– ไฟด้านข้างถูกใช้งาน

– ระบบความคุมความเร็วให้คงที่

– เปิดไฟขอทาง

(แถว 2 สีแดง)

– ไฟเตือนระบบเบรกมือ

– ไฟเตือนอุณหภูมิ

– ไฟเตือนระดับน้ำมันเครื่องต่ำ

– ไฟเตือนระบบพวงมาลัยไฟฟ้าทำงานผิดปกติ

– ไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัย

– ไฟเตือนพลังงานแบตเตอรี่

(แถว 3 สีแดง)

– ไฟเตือนพวงมาลัยล็อก

– ไฟเตือนสวิตช์สตาร์ทเกิดการผิดพลาด

– ไฟเตือนเข็มขัดนิรภัย

– ไฟเตือนประตูรถปิดไม่สนิท

– ไฟเตือนฝากกระโปรงรถเปิดใช้งาน

– ไฟเตือนฝากระโปรงท้ายรถเปิดใช้งาน

(แถว 4 สีเหลือง)

– ไฟเตือนเครื่องยนต์ผิดปกติ

– ไฟเตือนตัวกรองน้ำมันเครื่องยนต์มีปัญหา

– ปัดน้ำฝนทำงานอัตโนมัติ

– ไฟหัวเผาเครื่องยนต์ดีเซล

– ไฟเตือนมีน้ำอยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิง

– ไฟเตือนระบบป้องกันล้อล็อกผิดปกติ

(แถว 5 สีเหลือง)

– ไฟเตือนระบบทรงตัวของรถ

– ไฟเตือนลมยางอ่อน

– ไฟเตือนเซนเซอร์ระบบน้ำฝนใช้งาน

– ไฟเตือนผ้าเบรกบาง

– ไฟเตือนระบบไล่ฝ้ากระจก

– ไฟเตือนระบบเกียร์อัตโนมัติมีปัญหา

(แถว 6 สีเหลือง)

– มีน้ำเจือปนในน้ำมันเชื้อเพลิง

– โหมดประหยัดพลังงาน

– ไฟเตือนน้ำยาทำความสะอาดกระจกใกล้หมด

– ไฟเตือนระบบไฟผิดปกติ

– ไฟเตือนไฟเบรกมีปัญหา

– ไฟเตือนระบบตรวจจับน้ำฝนและแสงมีปัญหา

เรียนรู้เรื่องไฟเตือนหน้าปัดรถเพิ่มเติมที่นี่ คลิก 

วิธีจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยตัวเอง

ปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม เป็นหนึ่งในอาการรถเสียที่ผู้ใช้รถหลายท่านอาจเคยเจอมาก่อน การพกสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ติดไว้ในรถและรู้ วิธีจั้มแบตรถยนต์ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถควรรู้จักและทำความเข้าใจ เพราะหากเกิดอาการรถสตาร์ทไม่ติดเพราะสาเหตุมาจากแบตเตอรี่เสื่อม จะได้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง  โดยวิธีการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก 

การจองคิวทำใบขับขี่รถ

หลังจากที่หัดขับรถจนมีความชำนาญพร้อมที่จะออกถนนใหญ่แล้ว การทำใบขับขี่จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง สมัยนี้การทำใบขับขี่มีความง่าย สะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถ จองคิวรับใบขับขี่ ออนไลน์และอบรมการต่อใบขับขี่ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโควิด-19 โดยสามารถจองคิวรับใบขับขี่ที่กรมการขนส่งได้ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue โดยมีรายละเอียด ขั้นตอนการจองคิวเพื่อทำใบขับขี่ได้ คลิก  

วิธีดูแลยางรถยนต์ให้ใช้ได้นาน

นอกจากจะขับรถเป็นแล้ว และเทราบถึงกฎหมายจราจรที่เกี่ยข้องกับการขับขี่แล้ว การดูแลรถเป็นสิ่งหนึ่งที่มือใหม่หัดขับ ต้องเรียนรู้ไปด้วย การเลือกใช้ยางรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถและการขับขี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยืดอายุการใช้งานยางรถและลดการเกิดปัญหารถเสียกลางทางได้อีกด้วย โดยวิธีการดูแลยางรถด้วยตัวเองจะต้องทำอย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บทความวิธีดูแลยางรถยนต์ให้ใช้ได้นาน คลิก

การต่อภาษีรถต้องทำอย่างไร

เป็นประจำทุกปีที่ผู้ใช้รถทุกคน จะต้องนำรถไปตรวจสภาพ ซื้อพ.ร.บ.และต่อภาษีประจำปีที่ขนส่ง หรือตรอ.ใกล้บ้าน เพราะหากขาดต่อภาษีอาจจะทำให้ทะเบียนรถถูกระงับ ในกรณีขาดต่อภาษีเกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียนเล่มใหม่และเสียค่าปรับร้อยละ 1 ต่อเดือน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความตรวจสภาพรถใช้อะไรบ้าง คลิก

การทำประกันรถยนต์

บางครั้งอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันบนท้องถนน ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่หัดขับที่อาจจะไปขับรถเฉี่ยวสิ่งของ หรือรถของเพื่อนร่วมทาง อาจจะเกิดความกังวลในเรื่องของความเสียหายที่ตามมาก็เป็นได้ ทั้งนี้การทำประกันรถยนต์ติดรถไว้สักแผน ก็จะช่วยให้เกิดความอุ่นใจในการใช้รถและอย่างน้อยยังสามารถโทรเรียกบริษัทประกันเพื่อเข้ามาเคลียร์ค่าเสียหายต่าง ๆ ได้  คุณสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับประกันรถยนต์และเลือกทำประกันรถยนต์ที่เหมาะกับคุณได้ คลิกที่นี่ 

รวมเรื่องที่ต้องรู้สำหรับ มือใหม่หัดขับ แม้ว่าจะดูแล้วมีหลายข้อที่ควรรู้และควรปฏิบัติตาม แต่หากมีการปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นมือใหม่หัดขับ อย่างน้อย ทั้งนี้สำหรับมือใหม่หัดขับ การทำประกันรถยนต์ติดไว้สักแผน ก็จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนน หมดความกังวลหากต้องเจอกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ก็ยังสามารถโทรเรียกบริษัทประกันเขามาช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้ รวมไปถึงหากเกิดรถเสียกลางทางไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ยังสามารถโทรเรียกบริษัทประกันให้เข้ามาช่วยเหลือคุณได้เช่นเดียวกันค่ะ หากสนใจทำประกันรถยนต์เลือกแผนประกันที่เหมาะกับคุณหรือซื้อประกันได้ที่เฮงลิสซิ่งทุกสาขาใกล้บ้าน หรือเลือกแผนประกันรถที่เหมาะกับคุณได้ที่นี่ คลิก