ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการติดเครดิต “เครดิตเสีย” หรือ “บัญชีดำ” (Blacklist) สาเหตุมาจากการเป็นหนี้สถาบันการเงินแล้วไม่สามารถใช้คืนตามกำหนดเวลา โดยส่วนใหญ่จะผิดนัดชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป จนทำให้สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้นั้น จะต้องรายงานประวัติการเงินของเราไปที่เครดิตบูโรเพื่อทำการบันทึกข้อมูลนี้ไว้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินอื่น ก็จะส่งผลทำให้ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นได้

“เครดิตบูโร” หรือ “บริษัทข้อมูลเครดิต (National Credit Bureau) คือ บริษัทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินหลายๆแห่งที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร นำมารวบรวมประมวลผลเป็นข้อมูลเครดิต โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกจะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตได้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการอนุมัติสินเชื่อ

การเก็บข้อมูลของเครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนตั เช่น ชื่อจริง นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด สถานภาพการสมรส อาชีพ เป็นต้น และ ข้อมูลสินเชื่อ เช่น ประวัติการได้รับอนุมัติสินเชื่อ ประวัติการชำระสินเชื่อย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน โดยไม่ได้จำกัดแค่สินเชื่อส่วนบุคคล แต่ยังรวมไปถึงสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อเงินสด การเช่าซื้อรถยนต์ ประวัติการค้ำประกัน การซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งข้อมูลเครดิตบูโรจะแสดงข้อมูลในส่วน “หนี้สิน” เท่านั้น แต่จะไม่แสดงข้อมูลในฝั่ง “ทรัพย์สิน”

 หากคุณมีประวัติค้างชำระ เครดิตเสีย ติด Blacklist ควรทำอย่างไร??

เมื่อคุณมีประวัติผิดนัดชำระ ข้อมูลก็จะไปปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิตบูโร หากคุณไม่สามารถทำการผ่อนจ่ายได้ คุณควรเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการขยายระยะเวลาผ่อนชำระหรือลดจำนวนเงินต้นลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการชำระจำนวนเงินต้นและกฎของแต่ละสถาบันการเงินด้วย ดังนั้นเราขอแนะนำด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

ในกรณีที่คุณยังพอมีสภาพคล่องทางการเงินอยู่
1. สรุปรายการหนี้ที่ยังคงค้างชำระ
เพื่อตั้งงบประมาณรายรับ – รายจ่ายได้อย่างเหมาะสม โดยรายละเอียดที่ควรสรุปออกมาคือ เป็นหนี้กับสถาบันการเงินใด จำนวนเท่าไร ดอกเบี้ยเท่าไร ต้องผ่อนชำระต่อเดือนเท่าไร
2. ผ่อนชำระหนี้ให้ตรงเวลาทุกงวด ที่สำคัญคุณควรเก็บหลักฐานการชำระหนี้ทุกอย่างไว้ เพราะสามารถนำ statement ที่ชำระตรงเวลานี้ไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ดู เมื่อต้องการขอสินเชื่อตัวใหม่
3. นำเงินก้อนมาปิดชำระหนี้สิน เช่น เงินโบนัส คอมมิชชั่น หรือรายได้จากทรัพย์สินที่มี
4. รีไฟแนนซ์ คือการรวมหนี้ชำระเป็นก้อนเดียว โดยจ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่า และจ่ายหนี้ให้กับสถาบันการเงินใดสถาบันหนึ่ง หลีกเลี่ยงการลืมชำระหนี้หลายๆสถาบัน ซึ่งจะทำให้ประวัติของคุณเสียยิ่งกว่าเดิม

 

ตัวอย่าง ตารางสำรวจหนี้สิน : ขอบคุณข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ในกรณีที่คุณยังไม่มีสภาพคล่องทางการเงิน หรือ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ
1. เจรจากับสถาบันการเงิน เจรจาขอเพิ่มระยะเวลาการชำระหนี้หรือเจรจาขอปรับโครงสร้างการชำระหนี้ เพื่อแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่า เรามีความตั้งใจจะชำระหนี้จริง ซึ่งหลายคนมีความกลัวที่จะเจรจา แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถาบันการเงินส่วนใหญ่มักไม่อยากให้เกิดหนี้สูญ ฉะนั้นการเจรจาจึงเป็นวิธีที่ไม่น่ากลัวแบบที่หลายคนคิด
2. ขายหรือปล่อยเช่าหนี้สินรายการใหญ่ เช่น รถยนต์ คอนโด บ้าน เป็นต้น เนื่องจากหนี้พวกนี้เป็นหนี้ก้อนใหญ่และมักมีเวลาผ่อนชำระยาว ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนสูงด้วย หากคุณมีความจำเป็นจริงๆ คุณควรพิจารณาเคลียร์หนี้สินส่วนนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายเดือนของคุณเอง
3. หยุดชำระหนี้และเริ่มออมเงินครั้งใหญ่ วิธีนี้ให้ใช้เฉพาะตอนที่ถึงทางตันแล้วเท่านั้น คือการรอจนหนี้เป็นหนี้เสีย แล้วเราค่อยติดต่อสถาบันการเงินและเจรจาลดหนี้ลงให้เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็นำเงินมาค่อยๆ ชำระคืน

ทั้งนี้คุณควรพิจารณาเลือกวิธีการให้เหมาะสมและเงื่อนไขที่คุณยอมรับได้ อาจจะต้องใช้เวลาและความอดทนมากเพื่อไม่ให้เสียเครดิตไปมากกว่าเดิมในอนาคต และกลับมามีประวัติเครดิตที่ดีได้ และระวังการหลงเชื่อโฆษณาหลอกลวงว่าสามารถช่วยปลดล็อคบัญชีดำได้ เพราะการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการขอสินเชื่อ ควรติดต่อสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตโดยตรงจึงจะปลอดภัยที่สุด

สำหรับคนที่ไม่เคยกู้สินเชื่อใดๆเลย หรือไม่เคยแม้แต่จะมีบัตรเครดิต จึงไม่มีประวัติเกี่ยวกับคะแนนเครดิตในระบบ ในความเป็นจริง ถึงแม้คุณจะไม่มีหนี้ แถมมีเงินฝากในธนาคาร แต่ก็จะขาดหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่า คุณมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีแค่ไหน แต่ในขณะเดียวกัน การที่คุณไม่มีบัตรเครดิต มองในอีกมุมหนึ่งก็อาจจะสื่อได้เช่นกันว่า คุณอาจจะไม่มีความน่าเชื่อถือพอที่จะได้รับการอนุมัติบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินที่ใดเลย เพราะ “เครดิต” เปรียบเสมือนเครื่องรับประกันความมั่นใจ ความน่าเชื่อถือ หรือใบรับรองวินัยทางการเงินของเรา เครดิตดีหาซื้อไม่ได้ ต้องสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น “เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้เสียเครดิต” ดังนั้นใครที่มีเครดิตอยู่ก็ต้องรักษาเครดิตของคุณไว้ให้ดีๆ นะคะ