แบตเตอรี่รถยนต์ ทำหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถให้ทำงานอย่างปกติ แต่เมื่อไหร่ที่คุณกำลังเจออาการเหล่านี้กับรถของคุณ แสดงว่ารถยนต์ของคุณกำลัง แบตเสื่อม ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่แล้ว โดยสัญญาณแบตเสื่อมมีดังต่อไปนี้

แบตเสื่อม เกิดจากสาเหตุใดบ้าง

แบตเตอรี่รถยนต์ คือ สิ่งสำคัญภายในรถที่ทำหน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าเมื่อสตาร์ทรถยนต์ หลังจากที่สตาร์ทรถ แบตเตอรี่จะส่งกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถทำงานได้อย่างปกติ หากแบตเสื่อมแน่นอนว่าจะส่งผลให้การทำงานของรถผิดปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมนั้นมีหลายสาเหตุดังนี้

1.เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้

บางคนอาจจะเคยพบว่าเช้ามาก่อนออกไปทำงาน รถสตาร์ทไม่ติดเนื่องจากเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้จนทำให้แบตเตอรี่รถยนต์หมดภายในข้ามคืน ทั้งนี้การลืมปิดไฟหน้าบ่อยครั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วได้

2.รถจอดนานมากเกินไป

หากคุณกำลังขับรถอยู่และแบตเตอรี่รถยนต์มีอาการเหมือนแบตเตอรี่รถยนต์หมด แสดงว่าอาจเกิดปัญหาผิดปกติที่ระบบชาร์จ หากไม่รีบแก้ไขจะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ลดลงและแบตเสื่อมเร็วกว่าปกติ

3.แบตเตอรี่รถเสื่อม

โดยปกติแล้วอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม มักจะแสดงอาการเช่น สตาร์ทรถติดยากในตอนเช้า จอดรถทิ้งไว้นาน ๆ จอดรถข้ามวันพอเช้ามาก็สตาร์ทรถไม่ค่อยติด แต่หากแบตเสื่อมจนไม่มีไฟเหลือเลย อาการคือรถสตาร์ทไม่ติดเลย

4.รถจอดทิ้งไว้นาน

รถที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ หรือไม่ได้มีการเอารถออกมาใช้งานเลย เมื่อคิดจะเอารถออกมาใช้งานหรือมาอุ่นเครื่องรถ เจ้าของรถมักจะเจออาการสตาร์ทรถไม่ติด จนทำให้แบตเตอรี่หมด เมื่อจอดทิ้งไว้นาน ๆ แนะนำให้ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออกไว้เลย หรือหากไม่ค่อยได้ใช้รถหรือนาน ๆ ใช้รถ ควรจะหมั่นสตาร์ทรถทิ้งไว้สัก 10 นาที อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ป้องกันไม่ใช้แบตเตอรี่เสื่อมและช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ด้วย

5.สภาพอากาศร้อนและหนาวจัด

สภาพอากาศเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ให้เสื่อมเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนมากเกินไป หรืออากาศเย็นจัด แต่กรณีนี้จะเกิดกับแบตเตอรี่ที่มีสภาพเก่าหรือแบตเสื่อมสภาพไปแล้ว

6.เชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวมหรือสนิม

หากขั้วแบตเตอรี่มีสนิมรอบ ๆ หรือการเชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวม เนื่องจากไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์สตาร์ท เกิดการดึงกระแสไฟจากแบตเตอรี่และระบบชาร์จ เป็นสาเหตุที่ทำให้อายุการใช้งานแบตเสื่อมเร็ว

อาการรถยนต์ แบตเสื่อม มีอะไรบ้าง

หากรถของคุณมีอาการแบตรถเสื่อม จะมีการแสดงความผิดปกติต่าง ๆ ออกมา เรามาดูกันว่าจะมีอาการใดบ้างที่แสดงว่ารถยนต์ของคุณแบตเสื่อม  ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถใหม่แล้ว

1.รถสตาร์ทติดยาก

ปัญหารถสตาร์ทติดยากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุนั้นคือแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม อายุการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อม สังเกตอาการได้จาก หากบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วมีเสียงแชะแล้วเงียบ ไฟแบตเตอรี่ไม่โชว์ที่หน้าปัด

2.ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ

ลองสังเกตการณ์ทำงานของระบบไฟต่าง ๆ เช่น หากพบว่าไฟหน้ารถส่องสว่างน้อยลง หรือไฟภายในห้องโดยสารส่องสว่างน้อยลง หรือกระจกไฟฟ้าขึ้นลงช้ากว่าปกติ นี่ก็เป็นสัญญาณแบตเสื่อมเช่นกัน

3.เสียงแตรเบาลง

หากพบว่าเสียงแตรรถเบาลงกว่าปกติ ความดังของแตรลดลง บีบแตรแล้วไม่ดัง แสดงว่ากำลังไฟในแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ หรือแบตเสื่อมนั่นเอง

4.สัญญาณไฟรูปแบตเตอรี่โชว์

หากสัญญาณไฟหน้าปัดรถ มีรูปแบตเตอรี่โชว์ แสดงว่าแบตเตอรี่รถกำลังมีปัญหา เกิดจากปัญหาไดชาร์จ สายแบตหลวมหรือสึกกร่อน จะเป็นจะต้องให้ช่างตรวจเช็คให้

5.ใช้งานแบตเตอรี่เกินปีครึ่ง

หากแบตเตอรี่รถที่คุณใช้อยู่มีการใช้งานมาเกินปีครึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ใกล้หมด แบตเสื่อม เพราะปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ 1-3 ปี ตามประเภทของแบตเตอรี่นั่นเอง

อายุการใช้งานแบตเตอรี่แต่ละประเภท

ปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์จะมีความแตกต่างกันตามประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ โดยแบตเตอรี่รถยนต์นั้นมี 3 ประเภทด้วยกันดังต่อไปนี้

แบตเตอรี่น้ำ

แบตเตอรี่น้ำ ถือเป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม การใช้งานจะต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ และหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่อยู่เสมอ ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูก ทนทาน อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์นี้จะนานกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 1-2 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี

แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

แบตเตอรี่กึ่งแห้ง จะคล้ายกับแบตเตอรี่แห้งแต่ยังมีรูเติมน้ำกลั่น เติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่ไม่ต้องดูแลแบตเตอรี่ประเภทนี้อะไรมากมายนัก ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 2 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 ปี

แบตเตอรี่แห้ง

แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ดูแลรักษาง่าย แต่มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 5 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น รุ่นรถ การใช้งาน การดูแลรักษา สภาพอากาศ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่รถยนต์อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบลูกผสมระหว่าง แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และ แบตเตอรี่น้ำ จะมีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง แต่ดูแลง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ

ทั้งนี้เมื่อพบอาการแบตเสื่อมแล้วควรรีบนำไปเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ก้อนใหม่ เพื่อให้รถสามารถใช้งานได้อย่างปกติและราบรื่น แต่ทางที่ดีสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรจะมีทักษะและเตรียมอุปกรณ์นี้ไว้ในรถ เพราะหากแบตเสื่อมไม่รู้ตัวและทำให้รถสตาร์ทไม่ติดอย่างน้อยการมีสายจั๊มพ์แบตรถ หรือการพ่วงแบตเตอรี่จากรถแบตเตอรี่ของรถคันอื่น เพื่อกระตุ้นการทำงานของแบตรถของคุณ เพื่อให้รถสามารถขับต่อไปได้

วิธีจั้มแบตรถยนต์ ทำอย่างไร

วิธีจั้มแบตรถยนต์ การจั๊มพ์แบตรถ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ที่หลายคนเรียกกัน เป็นการกระตุ้นการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ ช่วยทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ โดยใช้วิธีจั้มแบตรถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถจากแบตเตอรี่ของรถอีกคันหนึ่งโดย วิธีจั้มแบตรถยนต์ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.การเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์

เริ่มต้นวิธีจั้มแบตรถยนต์ในขั้นตอนแรก ก่อนอื่นจะต้องเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่หรือสายพ่วงแบตรถยนต์ ซึ่งสิ่งนี้ควรจะมีติดรถไว้ทุกคัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้นำมาใช้ได้ สำหรับสายจั้มแบตเตอรี่จะมีอยู่ 2 เส้น สายสีแดงคือประจุไฟขั้วบวก และสายสีดำหรือสีเขียวคือประจุไฟขั้วลบ โดยความยาวของสายจั้มแบตเตอรี่นั้น ควรจะยาวพอที่จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่รถจากอีกคันหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องจอดรถชิดกันมากนัก

2.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทั้งหมดของรถ

หลังจากที่เตรียมสายจั้มแบตเตอรี่และมีรถยนต์หรือแบตเตอรี่อีกก้อนสำหรับพ่วงสายจั้มแบตแล้ว นำรถมาจอดใกล้กันแต่ไม่ควรจอดรถชิดกันเกินไป ป้องกันรถเกิดประกายไฟ

3.ต่อสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์เข้าด้วยกัน

นำสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างที่เป็นสีแดง หรือขั้วบวก ต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่มีปัญหา แล้วนำสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เป็นสีดำ หรือขั้วลบ ไปต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถยนต์อีกคันที่ปกติ ส่วนปลายอีกด้านให้หนีบตรงโลหะของเครื่องยนต์  

4.สตาร์ทเครื่องยนต์

สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันปกติก่อน ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่หมดเพื่อทดสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่หรือยัง

4.ถอดสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์

ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ โดยต้องถอดตามขั้นตอน ดังนี้ เริ่มต้นจากขั้วลบจากรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วค่อยถอดขั้วลบและขั้วบวกของรถคันปกติตามลำดับ ตามด้วยขั้วบวกของรถที่แบตเตอรี่หมด โดยมีข้อระวังตรงที่ไม่ให้สายจั๊มแบตเตอรี่ต่างขั้วมาสัมผัสกัน

ข้อควรระวังในการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์

แม้ว่าวิธีการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ จะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ยังมีข้อควรระวังในการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อยู่บ้าง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย เช่น ต้องปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถทั้งสองคัน ไม่ว่าจะเป็น  ไฟหน้า ระบบแอร์ วิทยุ และเครื่องเสียง เป็นต้น รวมไปถึงห้ามสูบบุหรี่ หรือไฟแช็กเพราะจะทำให้เกิดการก่อประกายไฟได้ และอย่าให้ปลายสายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัส เพราะอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้

ปัญหารถยนต์แบตเสื่อม เป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความหงุดหงิดใจให้ผู้ขับขี่ไม่น้อย เพราะแบตเสื่อมจะทำให้การทำงานของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ภายในรถผิดปกติได้ ทั้งนี้แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งาน หากไม่อยากเจอปัญหาแบตเสื่อม เราแนะนำว่าควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ตามอายุการใช้งาน โดยแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละประเภทมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน คุณสามารถกลับไปศึกษาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ตามเนื้อหาด้านบนนี้ นอกจากการหมั่นตรวจเช็คและเปลี่ยนอุปกรณ์ในรถยนต์ตามระยะเวลาการใช้งานแล้ว การทำประกันรถยนต์ ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความคุ้มครองในการเดินทางที่มากกว่าการทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียว เพราะให้ความคุ้มครองทั้งคน รถและความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นได้จากอุบัติเหตุรถชนนี้ได้  แนะนำซื้อประกันรถยนต์ที่เฮงลิสซิ่ง ซื้อง่าย ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน ไม่มีบัตรเครดิตก็ยังสามารถผ่อนได้ ไม่มีดอกเบี้ย นาน 12 เดือน สนใจคลิก