“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” แต่สำหรับรถแล้วสีรถที่สดใสเงางามมีส่วนช่วยให้รถดูใหม่ สวยงามสะดุดตา ทั้งนี้การ เคลือบสีรถ มีหลายประเภท ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้การเคลือบสีรถไม่ได้ช่วยในเรื่องความสวยงามอย่างเดียวแต่ยังมีข้อดีอื่นเช่นเดียวกัน บทความนี้เรามีความรู้เรื่องการเคลือบสีรถมาฝากกันค่ะ

การ เคลือบสีรถ มีข้อดีต่อรถของคุณอย่างไร

การเคลือบสีรถ เป็นการเพิ่มความสดใสเงางามให้กับรถของคุณอยู่เสมอ สำหรับคนรักรถแล้วการเคลือบสีรถจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยเสริมความหล่อความสวยให้แก่รถของคุณ หลายคนจึงเลือกที่จะไปล้างรถที่คาร์แคร์ เพราะนอกจากจะใช้บริการล้างรถ ดูดฝุ่นภายในรถแล้ว การเคลือบสีรถ จะเป็นสิ่งที่ร้านคาร์แคร์มักจะแนะนำให้ลูกค้าที่มาล้างรถเพิ่มการเคลือบสีรถไปด้วย แต่เนื่องจากการเคลือบสีรถ จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม อาจทำให้หลายคนเลือกที่จะล้างรถ ลงแว็กซ์ให้กับรถของคุณเพียงเท่านั้น ทั้งนี้ความจริงแล้วการเคลือบสีรถนั้น นอกจากจะมีข้อดีในเรื่องของความสวยงาม เพิ่มความสดใส เงางามให้แก่รถยนต์อยู่เสมอแล้ว ยังมีข้อดีอื่นที่คนมีรถต้องรู้ เพราะการเคลือบสีรถยังช่วยในเรื่องอื่นอีกดังนี้

1.ป้องกันคราบสิ่งสกปรกไม่ให้เกาะรถ

การเคลือบสีรถ ช่วยป้องกันและลดการเกาะยึดไม่ให้พวกฝุ่น หยดน้ำ ละอองน้ำเกาะอยู่ตามผิวรถจนเป็นรอยด่าง  เพราะสารที่ใช้เคลือบสีรถจะเคลือบผิวรถเพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้เกาะติดได้นาน หากเป็นพวกหยดน้ำก็จะไม่เกาะติดผิวรถอีกทั้งยังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เป็นเกาะติดเป็นคราบฝังลึก

2.ยืดอายุสีตัวถังรถ

การเคลือบสีรถนอกจากจะช่วยเพิ่มความเงางาม ทำให้สีรถดูสดใส และยังช่วยป้องกันคราบสกปรกไม่ให้เกาะติดผิวรถซึ่งทำให้ทำความสะอาดได้ง่าย นอกจากนี้การเคลือบสีรถยังเป็นการเพิ่มเกราะป้องกันให้กับผิวรถที่จะต้องสู้กับแสงแดด ฝน ละอองน้ำ  หรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนไปมีผลทำให้สีรถซีดจาง หลุดล่อน เปรียบเหมือนการที่คนเราทาครีมกันแดดเพื่อจะช่วยป้องกันแสงยูวี หรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนไป ที่มีผลทำให้ผิวของเราเกิดอาการแสบแดง มีริ้วรอย หรือรอบเหี่ยวย่น  เช่นเดียวกันกับผิวรถ แม้ว่าแสงแดด ฝน ละอองน้ำ หรือมลภาวะต่าง ๆ ก็มีผลทำให้สีตัวถังรถ ซีดจาง หลุดล่อนได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการเคลือบสีรถ จึงเป็นการยืดอายุของสีตัวถังให้สดใส ไม่ซีดจาง สีไม่หลุดล่อนออกมาง่าย ๆ นั่นเองค่ะ

การเคลือบสีรถมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

เมื่อเราเห็นข้อดีของการเคลือบสีรถที่ไม่ได้ทำเพื่อความสวยงามให้แก่รถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราจะมาทำความรู้จักกับการเคลือบสีรถประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีหลากหลายประเภท คุณสมบัติและอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจและเลือกการเคลือบสีรถให้เหมาะสมกับรถของคุณได้ง่ายขึ้นค่ะ

การเคลือบแว็กซ์

การเคลือบแว็กซ์ ถือเป็นการเคลือบสีรถที่ง่ายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเทียบกับการเคลือบสีรถประเภทอื่น ทั้งนี้คุณสมบัติของการเคลือบสีรถโดยการเคลือบแว็กซ์จะช่วยเพิ่มความเงางามให้กับรถ และสามารถลบรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ โดยการเคลือบสีแว็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเคลือบสีรถแบบแว็กซ์ครีม และการเคลือบสีรถแบบแว็กซ์น้ำ ซึ่งจะทนความร้อนได้ดีกว่า แต่การเคลือบสีรถด้วยแว็กซ์จะมีข้อเสียคืออายุการเคลือบอยู่ได้ไม่นาน

การเคลือบซิลิโคน

การเคลือบสีรถด้วยซิลิโคนจะมีราคาสูงกว่าการเคลือบแว็กซ์อีกหน่อย แต่การเคลือบสีรถด้วยซิลิโคนจะทำให้รถมีความเงางามกว่า ดูมีมิติมากกว่าและทนความร้อน ยูวีได้ดีมากกว่าการเคลือบสีรถแบบแว็กซ์ นอกจากนี้ยังลดการเกาะของพวกคราบสกปรกต่าง ๆ ส่วนอายุการใช้งานอยู่ได้ประมาณ 1 ปี แต่ยังมีข้อด้อยตรงที่ประสิทธิภาพในการป้องกันเรื่องรอยขีดข่วนทำได้ไม่สูงมากนัก

การเคลือบแก้ว

การเคลือบสีรถด้วยการเคลือบแก้ว เป็นการเคลือบชั้นผิวของสีรถให้เหมือนกับกระจกใส เงางามมีความแข็งและหนาบนชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงานเหนือชั้นสีของตัวรถ  ในสารเคลือบแก้วจะมีส่วนผสมของSilicon dioxide (SiO2) หรือเรียกว่าซิลิกา เป็นสารเคลือบแก้วที่แข็งแรง ไม่หักเหแสง ทำให้สีรถยังคงสวยและเงางาม  ทั้งนี้การเคลือบแก้วมีราคาสูงกว่าและอายุการใช้งานนานกว่าการเคลือบประเภทอื่น ส่วนประสิทธิภาพของการเคลือบแก้วก็ดีกว่าเช่นเดียวกัน เพราะการเคลือบสีรถแบบเคลือบแก้วช่วยให้สีรถมีความเงางามคล้ายกระจก ซึ่งทำให้พวกฝุ่น คราบสกปรก ยางมะตอยต่าง ๆ ทำความสะอาดได้ง่าย แถมยังช่วยป้องกันพวกรอยขนแมว รอยขีดข่วนได้ดี โดยการเคลือบสีรถด้วยการเคลือบแก้ว ส่วนอายุการใช้งานอยู่ได้ประมาณ 3 – 5 ปี ทั้งนี้การเคลือบสีรถด้วยการเคลือบแก้วยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

การเคลือบแก้วแบบพ่น

การเคลือบแก้วแบบพ่น เป็นวิธีที่พัฒนามาจากการพ่นสีรถยนต์ในโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งมีลักษณะการพ่นเช่นเดียวกับการพ่นสีรถนั่งเอง ทำให้สารเคลือบนั้นสามารถครอบคลุมได้ทั่วผิวรถ ไม่ต้องกลัวว่าสารเคลือบนั้นจะเคลือบหนามากเกินไป  จึงทำให้การเคลือบแก้วแบบพ่นมีความคงทน เงางาม รถดูสวยงามแวววาวอีกด้วย

การเคลือบแก้วแบบทา

การเคลือบแก้วแบบทา เป็นการเคลือบแก้วแบบดั้งเดิมเป็นการทาสารเคลือบแก้วลงบนผิวรถ ซึ่งต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษ เพราะการเคลือบแก้วแบบทาจะต้องมีการทาไม่หนาเกินไป ไม่บางเกินไป เพื่อให้ความหนาของสารเคลือบแก้วนี้มีความสม่ำเสมอเท่ากัน

นอกจากการเคลือบสีรถด้วยการเคลือบแก้วแล้ว ยังมีการเคลือบสีรถอีกประเภทหนึ่งที่มีความแตกต่างจากการเคลือบแก้วนิดหน่อยคือการเคลือบแก้วเซรามิก ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของส่วนประกอบของน้ำยาที่มีสารตั้งต้นแตกต่างกัน โดยที่การเคลือบเซรามิกหลายชนิด ได้แก่ Silicon Carbide (SiC) และ Silicon dioxide (SiO2) ซึ่งเมื่อเคลือบแล้วจะทำให้สีรถเกิดความเงางาม หนาคงทนต่อรอยขีดข่วนและมีความแข็งแรงมากกว่าสารเคมีประเภทอื่น

ปัจจัยที่ทำให้สีรถซีดจาง หลุดล่อนมีอะไรบ้าง

แม้ว่าการเคลือบสีรถจะเป็นการช่วยให้สีรถมีความเงางามเหมือนใหม่อยู่เสมอแล้ว แต่เราควรจะต้องมีการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ   ที่จะทำให้สีรถยนต์ที่คุณรักนั้น ซีดจาง คราบด่าง สีหลุดล่อน เสื่อมสภาพ ไม่สดใสเงางามเหมือนรถใหม่  เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถของคุณไม่สวยงาม  มีดังต่อไปนี้

1.แสงแดด

แสงแดดเป็นปัจจัยต้น ๆ ที่ทำให้สีรถยนต์ซีดจาง หลุดล่อนหากมีการตากแดดเป็นประจำเวลานาน นอกจากแสงแดดจะไปทำลายผิวเคลือบรถยนต์จนทำให้สีรถซีดลงแล้วนั้น ยังทำให้ส่วนของอุปกรณ์ของรถที่ทำจากยางหรือพลาสติกเริ่มเสื่อมสภาพ แห้งกรอบ เช่น ยางปัดน้ำฝน เบาะหนัง คอนโซลหน้ารถ พวงมาลัยรถ เป็นต้น

2.ฟองน้ำล้างรถ

การเลือกฟองน้ำล้างรถควรเลือกใช้ฟองน้ำสำหรับล้างรถโดยเฉพาะ ทั้งนี้หลังจากที่ใช้ฟองน้ำล้างรถแล้ว ควรจะล้างทำความสะอาดและเก็บฟองน้ำล้างรถไว้ให้ดี เพราะหากฟองน้ำล้างรถยังมีพวกเศษทราย กรวดติดอยู่ในฟองน้ำ เมื่อเรานำมาใช้ล้างรถจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนจนทำให้รถเป็นรอยจนสีถลอกได้

3.ขี้นก

ขี้นกมีฤทธิ์เป็นกรดสามารถกัดสีรถยนต์ให้ด่างเป็นจุด และหากปล่อยไว้นานจะขัดคราบด่างนั้นได้ยากมาก ทั้งนี้เมื่อนกขี้ใส่รถให้รีบความสะอาดทันทีและหลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้หรือหากจำเป็นต้องจอดรถใต้ต้นไม้เป็นเวลานาน ควรใช้ผ้าคลุมรถด้วย

4.ยางไม้จากต้นไม้

บางครั้งเราจะพบว่ามีคราบสีน้ำตาลอ่อนเป็นจุด ๆ เกาะบนกระจกหน้ารถบ้างหรือตามฝากระโปรงรถบ้าง ซึ่งคราบยางไม้นี้เกาะติดแน่นขจัดได้ยากและจุดที่ถูกยางไม้เกาะนั้นหากทิ้งไว้เป็นเวลานาน ยางไม้จะกินสีรถให้ซีดจางด้วย ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้ เพื่อไม่ให้ยางไม้หล่นใส่รถยนต์นั่นเอง

5.คราบน้ำมัน

คราบน้ำมันเชื้อเพลิงรถ หากปล่อยให้หกใส่รถจะฝังแน่นกับสีรถซึ่งไม่สามารถล้างออกได้หากปล่อยทิ้งไว้ ทั้งนี้เมื่อพบว่าน้ำมันเชื้อเพลิงหกใส่รถให้รีบ เวลาที่คุณเติมน้ำมันที่ปั๊ม คอยสังเกตที่เวลาพนักงานเติมน้ำมันว่ามีน้ำมันหกออกมาหรือไม่ หากมีให้รีบนำผ้าไมโครไฟเบอร์ลูบทำความสะอาดเบา ๆ ทันที

6.แมลง

สำหรับคนที่ขับรถในเวลากลางคืนมักจะเจอพวกแมลงมาชนหน้ารถและกระจกหน้ารถขณะที่ขับรถอยู่ ซึ่งแมลงเหล่านี้มักจะเกิดคราบเกาะแน่นติดกับสีรถ หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้สีรถซีดจาง ทั้งนี้เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบเช็ดออกด้วยครีมกำจัดคราบเอนกประสงค์ และเช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์

การเคลือบสีรถเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลรถยนต์ง่าย ๆ สำหรับผู้ที่รักรถและอยากให้รถยนต์คู่ใจมีความเงางามเหมือนรถใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าการล้างรถจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนสีผิวรถให้ออกไปได้ก็ตาม แต่การเคลือบสีรถเป็นการเสริมเกราะป้องกันผิวรถไม่ให้ซีด หรือหลุดล่อนได้ง่าย เหมือนกับการที่คนเราทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดด ยูวีและมลภาวะที่จะมาทำร้ายผิว เช่นเดียวกับการเคลือบสีรถที่แสงแดด  ยูวี ฝน ละอองน้ำ ควันรถ และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้สีผิวรถซีดจาง หรือหลุดล่อนได้นั่นเอง ทั้งนี้การเคลือบสีรถจึงเป็นทางเลือกที่ดีและจำเป็นในการดูแลรถให้มีความเงางาม โดดเด่นเหมือนใหม่  ทั้งนี้นอกจากการเคลือบสีรถแล้ว การทำประกันรถยนต์ยังเป็นการเสริมเกราะป้องกันให้ผู้ขับขี่และรถของคุณหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เพราะการทำประกันจะให้ความคุ้มครองทั้งคน รถและความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุนั้น ๆ ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นหลังจากเสริมเกราะป้องกันให้สีรถด้วยการเคลือบสีรถแล้ว อย่าลืมซื้อประกันรถยนต์เพื่อเสริมเกราะป้องกันให้กับการเดินทางอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ สนใจเลือกทำประกันรถยนต์ที่ใช่สำหรับรถคุณ คลิก