ยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้รถสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ การ เติมลมยางรถยนต์ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถควรให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะหากปล่อยให้ลมยางรถยนต์อ่อน อาจจะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้นั่นเอง แล้วการเติมลมยางรถยนต์ที่ดีจะต้องเติมเท่าไหร่ เรามีคำแนะนำมาฝาก

เติมลมยางรถยนต์ เท่าไหร่จึงจะดีกับรถคุณ

เชื่อว่าผู้ขับขี่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่ายางรถยนต์ที่ตนเองใช้อยู่ต้อง เติมลมยางรถยนต์ เท่าไหร่กันแน่ เพราะทุกครั้งที่มีการเติมลมยางรถยนต์ อาจจะไม่ได้เติมเองบ้าง หรือฟังจากคนอื่นว่าต้องเติมลมยางรถยนต์เท่าไหร่โดยที่การเติมลมยางรถยนต์แต่ละประเภท จะมีแรงดันลมยางที่ไม่เท่ากัน โดยปกติการเติมลมยางรถยนต์ ประเภทรถเก๋งจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้ามีการบรรทุกหรือมีผู้โดยสารเต็มคันรถ จะอยู่ที่ประมาณ  33-35 PSI  ส่วนรถกระบะ จะเติมลมยางรถยนต์ล้อหน้าอยู่ที่ 36-38 PSI  ล้อหลัง  40-42 PSI หรือหากมีการบรรทุกของเต็มท้ายรถ  47-51 PSI  แต่หากจำแนกประเภทรถออกมา จะพบว่าการเติมลมยางรถยนต์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้

– รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมแรงลมที่ 25 – 30 ปอนด์

– รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมแรงลมที่ 30 – 35 ปอนด์

– รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมแรงลมที่ 35 – 40 ปอนด์

– รถตู้บรรทุก 7 – 10 คน ควรเติมแรงลมที่ 43 – 55 ปอนด์

โดยความถี่ในการเติมลมยางรถยนต์นั้น ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเติมเมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานรถบ่อยแค่ไหน ปกติแล้วลมยางรถยนต์จะลดลง 2-3 PSI ในหนึ่งเดือน หากไม่ค่อยได้ขับขี่รถบ่อยควรเติมลมยางรถยนต์ เดือนละครั้งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ควรหมั่นตรวจสอบเช็กลมยางรถยนต์อยู่เสมอจึงจะดีที่สุด

การเติมลมยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง ส่งผลเสียอย่างไร

บ่อยครั้งที่เติมลมยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง หรือปล่อยให้ยางแบนอยู่บ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหายางรถยนต์รั่ว หรือยางระเบิด เพราะความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถอีกด้วย นอกจากนี้การเติมลมยางรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง จะผลเสียอะไรได้อีกบ้าง

1.หากแรงดันยางรถยนต์มีน้อยเกินไป

หากมีการเติมลมยางรถยนต์น้อยเกินไป หรือขับรถแบบลมยางอ่อน ยางแบน มีความเสี่ยงที่จะทำให้ยางรถยนต์ระเบิดง่ายขึ้น เพราะเนื้อยางที่ผิดรูปจะเสียดสีกับผิวถนนมาก จนเกิดแผลที่แก้มยาง โอกาสที่ยางรถยนต์จะระเบิดจากความร้อนสะสมในยางรถยนต์จึงมีสูงมาก

2.หากแรงดันยางรถยนต์มีมากเกินไป

หากมีการเติมลมยางรถยนต์มากเกินไป จะทำให้ยางรถยนต์แข็ง เกาะถนนไม่ดีนัก อาจจะเป็นอันตรายในการขับขี่ทำให้รถเบรกไม่อยู่ ยางไม่เกาะถนนทำให้ลื่นได้ง่าย ยิ่งในช่วงหน้าฝนจะเกิดอันตรายได้ง่าย

จะเห็นว่าการเติมลมยางรถยนต์ เป็นวิธีหนึ่งในการดูแลยางรถยนต์ให้ ศึกษาบทความการดูแลยางรถยนต์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวขึ้นได้ที่นี่ คลิก และยังช่วยให้การเดินทางมีความปลอดภัยอีกด้วย

ดูแลยางรถยนต์ยังไงให้ใช้ได้นาน

การดูแลยางรถยนต์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ยางรถยนต์ของเราได้นาน และมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถของคุณ ทั้งนี้ในการดูแลรักษายางรถยนต์มีดังนี้

1.เติมลมยางให้พอดี

หมั่นสังเกตลมยางอยู่เสมอ หากปล่อยให้ลมยางอ่อน ความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน

2.สลับยางรถยนต์

เมื่อใช้ยางรถยนต์ไปสักระยะ ยางจะมีการสึกไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการสลับยางทุก 10,000 กม. เพื่อให้หน้ายางสึกเท่ากัน และหมั่นเช็กลมยางให้พอดีกับการใช้งานด้วย

3.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

การตั้งศูนย์ถ่วงล่อ เป็นการสร้างสมดุลให้กับล้อรถ หากศูนย์ถ่วงล้อรถไม่ดีจะทำให้พวงมาลัยสั่นขณะขับรถซึ่งอันตรายต่อการขับรถ ปกติแล้วหลังจากที่คุณเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทุก3 ปี หรือ 50,000 กม. จะมีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อด้วย

4.เช็กดอกยางรถ

นอกจากจะเช็กลมยางแล้ว การเช็กดอกยางทุก 6 เดือน โดยดูจากสะพานยางหรือร่องนูนที่ร่องยาง ศึกษาเรื่องยางรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกหากคุณเห็นสะพานยางหรือยางมีรอยแตกแล้ว แสดงว่ายางรถยนต์เส้นนั้นหมดอายุต้องเปลี่ยนเส้นใหม่เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย

5.เลือกยางรถยนต์ให้ถูกประเภท

ทั้งนี้การเลือกใช้ยางรถยนต์ประเภทไหน ควรจะเลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งานและประเภทรถ หากใช้งานบนถนนทั่วไป ควรจะเลือก HT หากใช้รถกระบะ ที่ใช้งานทั้งในเมืองหรือออกไปลุยในวันหยุด อาจจะเลือกยางรถยนต์ AT หรือหากเป็นสายลุยเน้นเที่ยวป่าเที่ยวเขาโดยเฉพาะ เลือกใช้ยาง MT นั่นเองค่ะ อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทยางรถยนต์ได้ที่นี่

สิ่งที่ต้องมีติดรถไว้หากรถยางรั่วกลางทาง

การปล่อยให้ลมยางรถยนต์อ่อนเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถยางรั่ว เพราะเนื้อยางไปเสียดสีกับผิวถนนจนทำให้ยางสึก ยางเป็นแผลและเกิดรอยรั่วได้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยควรจะมีสิ่งเหล่านี้ติดรถไว้

1.ชุดปะยางฉุกเฉิน

หากคุณมีชุดปะยางฉุกเฉินติดรถไว้ หากคุณมีชุดปะยางฉุกเฉิน คุณสามารถปะยางรถรั่วเบื้องต้นได้ โดยเริ่มจากนำกระปุกน้ำยาปะยางกับปั๊มลมไฟฟ้า เสียบไปยังจุกลมยางรถล้อที่แบน จากนั้นทำการเปิดสวิตช์กุญแจ แล้วค่อยเปิดปั๊มลมไฟฟ้าเพื่อให้เครื่องทำงาน เมื่อเกจวัดปั๊มลมขึ้นไปถึงค่าที่กำหนดแล้วให้ทำการปิดสวิตช์ปั๊มลมไฟฟ้า จากนั้นลองขับรถไปสักพักด้วยความเร็วไม่เกิน 80กม./ช.ม. ประมาณ 5 กม. เพื่อเช็คว่าถ้ายางที่ทำการปะฉุกเฉินไปไม่มีการรั่วซึมของลม ก็สามารถขับรถต่อไปเพื่อไปร้านปะยางรถหรือศูนย์บริการเพื่อทำการเปลี่ยนหรือแก้ไขปัญหายางรถต่อไป          

2.อุปกรณ์และทักษะการเปลี่ยนยางอะไหล่

รถทุกคันจะมีอย่างอะไหล่ติดรถอยู่แล้ว คุณสามารถเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเองได้ หากคุณมีเครื่องมือในการเปลี่ยนยางอะไหล่ ได้แก่ ยางอะไหล่ แม่แรงยกรถ ด้ามหมุนแม่แรงยกรถ และบล็อกตัว L              

1.สอดแม่แรงเข้าใต้ท้องรถ  ตรงจุดที่รับน้ำหนักรถได้เพื่อทำการยกรถ แต่ยังไม่ต้องยกรถ

2.คลายน็อตล้อด้วยบล็อก โดยทวนเข็มนาฬิกา ส่วนเวลาใส่ก็ใส่ตามเข็มนาฬิกา แต่ยังไม่ต้องเอาน็อตออกจากล้อ

3.ใช้แม่แรงยกล้อลอยขึ้นเหนือพื้น แล้วค่อย ๆ ถอดน็อตล้อออก ถอดยางที่รั่วออกแล้วเอายางอะไหล่ใส่กลับเข้าไปแทน

4.ขันน็อตเข้าไปก่อนให้พอตึง  จากนั้นลดแม่แรงลงให้ล้อติดถึงพื้น

5.นำแม่แรงออก

6.นำบล็อกขันน็อตล้อให้แน่นที่สุด เป็นอันเสร็จ

การเติมลมยางรถยนต์ เป็นหนึ่งวิธีการดูแลยางรถยนต์ให้มีความทนทานต่อทุกการใช้งาน และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถทุกคนควรรู้ แต่ทั้งนี้ในเวลาที่คุณขับรถออกจากบ้าน อาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน  รถเสีย รถดับ รถสตาร์ทไม่ติด หรือยางรถรั่ว เพื่อความอุ่นใจการใช้รถและการเดินทาง อย่างน้อยการทำประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้ จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจและมีคนคอยดูแลคุณในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ การทำประกันรถยนต์มีหลากหลายแผนความคุ้มครองใช้คุณเลือก แนะนำซื้อประกันรถยนต์ผ่อน 0% ที่เฮงลิสซิ่ง มีให้เลือกหลากหลายแผนตามการใช้งานรถของคุณเลือกประกันรถที่ใช่ คลิกที่นี่ ซื้อง่าย ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน สามารถผ่อนประกันได้สูงสุด 12 งวดเลยทีเดียว ซื้อปั๊บรับความคุ้มครองทันที สนใจสอบถามได้ที่ โทร.1361 หรือสมัครได้ที่นี่ คลิก