รถทุกคันที่มีการเสียภาษีจะต้องมีการทำประกันรถยนต์ภาคบังคับหรือพ.ร.บ.อยู่แล้ว แต่เมื่อ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจแล้ว จะพบว่าประกันรถยนต์ภาคสมัครใจให้ความคุ้มครอบครอบคลุมมากกว่าการทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียว หลายคนจึงแนะนำให้ซื้อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจติดรถไว้ด้วย

เปรียบเทียบประกันรถยนต์ ประกันรถยนต์ภาคบังคับ กับ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงควรซื้อประกันรถยนต์ ทั้งที่รถทุกคนต้องทำพ.ร.บ.อยู่แล้ว แค่ทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอต่อการคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้รถอีกหรือ หลายคนบอกว่าเมื่อ เปรียบเทียบประกันรถยนต์แล้ว แนะนำให้ซื้อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจติดรถไว้ด้วย ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจก่อนที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์กันก่อน สำหรับการทำพ.ร.บ.หรือทำประกันรถยนต์ภาคบังคับตามกฎหมายนั่น กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 โดย พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคลลเท่านั้น หรือเรียกได้ว่า คุ้มครองคน ไม่คุ้มครองรถ เช่น ค่าซ่อมรถ หรือความเสียหายของรถนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนอาจจะไม่กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากนัก เพราะยังพอได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ได้จากการทำพ.ร.บ. การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลประกันสังคม หรือจากการเคลมประกันอุบัติเหตุ

แต่ในส่วนของค่าซ่อมรถ ค่าอะไหล่ เนื่องจากพ.ร.บ.ไม่คุ้มครองในส่วนนี้ ผู้ขับขี่จะต้องออกค่าซ่อม ค่าอะไหล่ต่าง ๆ เอง  เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าในการซ่อมรถแต่ละครั้ง หลายคนมักจะเคยเจอ ราคาอะไหล่ ค่าซ่อมที่ค่อนข้างแพง บางเคสยังแพงกว่าค่ารักษาพยาบาลเสียอีก จึงทำให้จุดนี้เองเมื่อนำมาเปรียบเทียบประกันรถยนต์กันแล้ว การทำการซื้อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จึงเป็นตัวช่วยคุ้มครองในส่วนของตัวรถ ซึ่งประกันภัย พ.ร.บ.ไม่ได้คุ้มครองรถนั่นเอง จึงทำให้การซื้อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการคุ้มครองที่มากขึ้นกว่าการทำพ.ร.บ.นั่นเอง แต่ในการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ยังมีแผนประกันแบ่งออกเป็นหลายชั้น เมื่อนำแต่ละแผนมาเปรียบเทียบประกันรถยนต์แล้ว จะพบว่าแต่ละแผนมีการให้ความคุ้มครองครอบคลุมต่างกันในแต่ละเรื่อง เรามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละแบบไปพร้อม ๆ กันค่ะ

เปรียบเทียบประกันรถยนต์ แต่ละแบบแตกต่างอย่างไร

ก่อนที่คุณจะเลือกแผนประกันรถว่าจะเลือกทำแผนไหน ควรที่จะเลือกจากหลายแห่งแล้วนำมา เปรียบเทียบประกันรถยนต์ ทั้งเรื่องเงื่อนไข ความคุ้มครอง เบี้ยประกัน ความคุ้มครองเพิ่มเติม การเคลมประกันและอื่น ๆ เพื่อให้เหมาะกับรถและคุณมากที่สุด แต่ทั้งนี้เราควรมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนประกันรถยนต์แต่ละชั้นเสียก่อนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

ประกันรถยนต์ชั้น 1

ให้ความคุ้มครองแก่ตัวรถของผู้เอาประกัน สามารถเคลมได้แม้ไม่มีคู่กรณี รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม

เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด รถใหม่สภาพดีอายุไม่เกิน 7 ปี

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

ให้ความคุ้มครองแก่ตัวรถของผู้เอาประกัน สามารถเคลมได้ในกรณีที่มีคู่กรณี รถชนรถ / รถหาย /ไฟไหม้ เมื่อ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ กับชั้น 1 แล้ว ไม่แตกต่างกันมากนัก

เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการทำประกันเพื่อป้องกันกรณีรถชน ป้องกันรถหาย ไฟไหม้ หรือรถที่มีความเสี่ยงไฟไหม้ เช่น รถติดแก๊ส นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำ ประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะอายุรถเกิน 7 ปี หรือมูลค่ารถไม่ถึงเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนด

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันในกรณีเกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่น ไม่คุ้มครองรถหายหรือไฟไหม้

เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไหม้หรือการโจรกรรมต่ำ เช่น รถไม่ติดแก๊ส รถจอดภายในบ้าน เป็นต้น

ประกันรถยนต์ชั้น 3

ให้ความคุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณี ไม่มีวงเงินซ่อมรถของผู้เอาประกัน

เหมาะสำหรับ ป้องกันความเสียหายจากการขับรถไปชนคันอื่น โดยผู้เอาประกันพร้อมรับผิดชอบค่าซ่อมของรถตัวเองได้หากจำเป็น

การทำประกันภัยรถยนต์ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ความอุ่นใจในการใช้รถของคุณ ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถเก่า ก็ควรได้รับความคุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุทั้งผู้เอาประกันเองและคู่กรณี รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่าง ไฟไหม้ รถหาย หรือน้ำท่วม ทั้งนี้การเลือกซื้อประกันรถยนต์ ควรมีการเปรียบเทียบประกันรถยนต์และเลือกตามความเหมาะสมของแต่ละคน

ประกันภัยรถยนต์ชั้นไหน เหมาะสมกับรถของคุณ

การทำประกันรถยนต์ ให้เหมาะสมกับแต่ละคน ควรพิจารณาจากพฤติกรรมหรือประวัติความเสี่ยงในการขับขี่รถมากน้อยแตกต่างกันไป รวมไปถึงอายุของรถประกอบกัน

ประกันรถยนต์ชั้น 1

เหมาะสำหรับผู้ที่ซื้อรถใหม่หรือซื้อรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี เพราะสามารถคุ้มครองได้มากที่สุด ทั้งกรณีที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ขับรถถอยชนต้นไม้ ขับรถเฉี่ยวเสา เป็นต้น และมีคู่กรณีทั้งผู้เอาประกัน คู่กรณี ตัวรถและทรัพย์สิน รวมไปถึง กรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

เหมาะสำหรับผู้ต้องการประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองมาก แต่ไม่สามารถซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้ เช่น รถที่มีอายุเกิน 7 ปี ก็สามารถพิจารณาเลือกทำประกันรถยนต์ 2+

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีความเสี่ยงในระหว่างการขับขี่รถและยังไม่จำกัดอายุของรถ แต่ยังต้องการความคุ้มครองในกรณีที่อาจเกิดอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะให้ความคุ้มครองกับรถฝ่ายคู่กรณีเท่านั้น เช่น ค่าซ่อมรถของคู่กรณี เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ โดยให้บริษัทประกันรถยนต์เป็นผู้รับผิดชอบเอง

เทคนิคเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้คุ้มค่า

1.พฤติกรรมกรรมการใช้รถ

พฤติกรรมการใช้รถ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกซื้อประกันรถยนต์ บางคนเป็นมือใหม่หัดขับ บางคนขับรถมานาน ก็อาจจะเลือกทำประกันรถยนต์ที่แตกต่างกัน มือใหม่หัดขับ อาจจะมีความเสี่ยงในการขับขี่ค่อนข้างสูง อาจจะขับรถเฉี่ยวชนสิ่งของ เกิดรอยขีดข่วนบ้าง ถอยรถชนเสาบ้าง หรืออาจจะบังเอิญไปเฉี่ยวชนเพื่อนร่วมทางคันอื่น การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับมือใหม่หัดขับที่ใช้รถปีใหม่ อายุไม่เกิน 7 ปี ก็จะช่วยคุ้มครองในเรื่องความเสียหายของรถ และคุ้มครองคนอีกด้วย หรือหากเป็นมือใหม่หัดขับแต่ใช้รถอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป อาจจะแนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อคุ้มครองได้ใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นอกจากนี้ความถี่ในการใช้รถ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ บางคนใช้รถเป็นประจำทุกวัน การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ขึ้นไปก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากบางคนไม่ค่อยได้ใช้รถสักเท่าไหร่ ขับแค่ใกล้ ๆ บ้าน หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด อาจจะเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 3 แทน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อประกันรถยนต์เช่นกัน

2.อายุของรถที่ใช้

เราจะเห็นว่าในการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถใหม่ป้ายแดง หรือรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี หากคุณเป็นรถเก่าที่มีอายุเกิน 7 ปี แต่รถก็ยังไม่เก่ามากนัก แต่ก็อยากได้รับความคุ้มครองที่ไม่ต่างจากประกันชั้น 1   จึงแนะนำให้ทำประกันรถยนต์ 2+ แทน จะเห็นว่าอายุของรถมีผลต่อการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แม้ว่าจะเป็นรถปีเก่าก็ยังสามารถเลือกซื้อประกันรถยนต์ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองในการใช้รถใช้ถนน แม้ว่าอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองเท่ากับรถใหม่หรือการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็ตาม แต่อย่างน้อยการเลือกซื้อประกันรถยนต์ติดไว้สักแผน ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเพิ่มความคุ้มครองที่นอกเหนือไปจากการทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียว

3.เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเราจะซื้อสินค้าหรือจะใช้บริการอะไรก็ตาม เรามักจะมีการค้นหารีวิวคนที่เคยทำใช้บริการบริษัทประกันแต่ละแห่งในอินเตอร์เน็ต หรือสอบถามคนข้างเคียง เพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับประสบการณ์การซื้อหรือเคลมประกัน แต่ทางที่ดีเลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทที่คุ้นหู น่าเชื่อถือ เพราะการเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้คุณได้รับการบริการที่เป็นมาตรฐาน ถูกกฎหมาย นอกจากนี้การเลือกบริษัทประกันที่มีอู่ซ่อมรถครอบคลุมหลายแห่งที่ได้รับมาตรฐาน รวมไปถึงอู่ซ่อมรถประจำของคุณเองอยู่ในเครือของบริษัทประกันรถที่คุณด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้คุณลดความกังวลในการนำรถไปส่งซ่อม และได้รับมาตรฐานในการซ่อมอีกด้วย

4.เบี้ยประกันรถยนต์

การเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์และข้อเสนอของแต่ละแห่ง ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้ง่ายขึ้น เลือกที่ให้ความคุ้มค่าว่าที่ไหนให้ความคุ้มครองมากกว่า เบี้ยประกันถูกกว่ากัน รวมไปถึงรูปแบบในการซื้อประกันรถยนต์ว่าสามารถแบ่งจ่ายได้หรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเบี้ยประกันรถยนต์แต่ละชั้น มีราคาค่อนข้างสูงในสายตาของหลายคน เพราะฉะนั้นหากสามารถเลือกทำประกันรถยนต์ผ่อนชำระ 0% ได้นาน 6 เดือน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การซื้อประกันรถยนต์ของคุณ ซื้อง่ายสบายกระเป๋ามากยิ่งขึ้น

หลังจากที่เราได้ทำการ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ ไปบ้างแล้ว พอจะทราบกันแล้วนะคะว่าการทำประกันรถเพิ่มเติมจากการทำพ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครองที่มากกว่าการทำพ.ร.บ.หรือการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ แม้ว่ารถของแต่ละคนจะทำพ.ร.บ.ไว้แล้ว แต่ก็อย่างที่ได้ทราบไปแล้วว่าพ.ร.บ.จะให้ความคุ้มครองแค่คนเท่านั้น ส่วนทรัพย์สิน ความเสียหายของรถ พ.ร.บ.จะไม่ได้รับการคุ้มครอง เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อประกันรถยนต์ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยคุ้มครองให้การขับขี่รถ การใช้รถใช้ถนน มีความอุ่นใจมากยิ่งขึ้น ส่วนจะเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ไหนดีนั้น ก็สามารถเลือกซื้อได้หลากหลายช่องทางทั้งช่องทางออนไลน์ โบรกเกอร์ หรือ มาที่นี่เลยค่ะ เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล เราไม่ได้ให้บริการในด้านสินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น เรายังเพิ่มความสะดวกในการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แถมยังซื้อง่าย ผ่อนสบาย ไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็ยังผ่อนได้ สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี่ หรือสอบถามได้ที่ เบอร์คอลเซ็นเตอร์ 1361 ค่ะ