บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)
เนื้อหาของบทความ
การเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถที่ส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเดินทางนุ่มนวล ปลอดภัยตอบสนองได้ทุกการขับขี่ ทั้งนี้ ขนาดยางรถยนต์ ควรจะเลือกที่เหมาะสมกับรุ่นรถของคุณ โดยสามารถอ่านขนาดยางรถยนต์ได้ที่ตัวเลขและตัวอักษรที่อยู่บนแก้มยางรถยนต์ บทความนี้เราจะมาสอนอ่านตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางกันค่ะ
เคยสังเกตหรือไม่ว่าที่แก้มยางรถยนต์ จะมีตัวเลขและตัวอักษรปรากฏอยู่ซึ่งตัวเลขและตัวอักษรเหล่านี้คือ ขนาดยางรถยนต์ เชื่อว่าผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งอาจจะทราบความหมายของตัวเลขและอักษรเหล่านี้ แต่ก็ยังมีผู้ขับขี่บางท่านที่อาจจะไม่เข้าใจความหมายหรือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวเลขบนแก้มยางรถยนต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกขนาดยางรถยนต์ และขอบเขตการใช้งานของยางรถยนต์นั้น ๆ โดยบทความนี้เราจะมาสอนอ่านขนาดยางรถยนต์ เพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าใจความหมายของตัวเลขและตัวอักษรได้มากยิ่งขึ้น โดยยางรถยนต์ทั่วไปจะมีชุดตัวเลข 4 หลักที่แก้มยาง และชุดตัวเลขตัวอักษรอีกชุด โดยที่แต่ชุดมีความหมายดังนี้
ตัวอย่างตัวเลขบนแก้มยาง 215/45 R17 91W
215 ความกว้างของยาง
45 ความสูงของยาง (ซีรีย์%)
R ชนิดของยาง (เรเดียล)
17 เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ (นิ้ว)
91 พิกัดรับน้ำหนักบรรทุก (กก)
W อัตราความเร็วที่ยางรับได้ (km/h)
0500 สัปดาห์ที่เท่าไหร่ของปีและปีค.ศ.ที่ผลิตยาง (เลข 4 หลักที่แก้มยาง)
สำหรับชุดตัวเลข 4 หลักนี้ จะบอกวันที่ผลิตยางรถยนต์ ซึ่ง 2 ตัวแรก บอกสัปดาห์ที่ผลิต และ 2 ตัวหลัง บอกปีที่ผลิต จากรูปภาพ คือ ยางผลิตสัปดาห์ที่ 5 ของปี ค.ศ.2000 นั่นเอง นอกจากนี้เมื่อคุณสามารถอ่านขนาดของยางรถยนต์และปีที่ผลิตแล้ว ยังทำให้คุณรู้อายุของยางรถยนต์อีกด้วย ซึ่งปกติแล้วยางรถยนต์ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี หรือ 40,000 กม. หากครบ 5 ปีแล้วแนะนำให้เปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากจะทำให้เรารู้ขนาดยางรถยนต์ ปีที่ผลิตและอายุยางรถยนต์แล้ว เวลาที่เราอาจจำเป็นต้องซื้อยางรถยนต์มือสองใช้ คุณก็สามารถดูปียางรถยนต์ได้ เพื่อจะได้ไม่ถูกย้อมแมวขาย เพราะบางร้านมีการย้อมแมวขายยางรถเก่าโดยอ้างว่าเป็นยางรถยนต์ปีใหม่ โดยการขัดข้อมูลรหัสปียางรถยนต์ออก แล้วปั๊มเข้าไปใหม่ ให้ตัวเลขเป็นปัจจุบันมากที่สุดนั่นเอง เห็นหรือไม่ว่าแค่คุณสามารถอ่านรหัสบนแก้มยางรถยนต์ ทำให้คุณรู้ว่าขนาดยางรถยนต์เท่าไหร่ ผลิตปีไหน และยางมีอายุการใช้งานเท่าไหร่แล้ว เวลาที่คุณจำเป็นต้องซื้อยางรถยนต์มือสองมาใช้จะได้ไม่โดนหลอกอีกด้วย
ทั้งนี้เราจะเห็นว่ารถแต่ละรุ่นมีขนาดยางรถยนต์ที่แตกต่างกัน เพราฉะนั้นการเลือกขนาดยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถและการใช้งานจึงช่วยให้การเดินทางมีความนุ่มนวล ปลอดภัย ลดแรงกระแทก ลดความเสียหายของช่วงล่าง และยังช่วยประหยัดน้ำมันรถอีกด้วย ในการเลือกขนาดยางรถยนต์มีหลักเกณฑ์ในการเลือกดังนี้
การคำนวณขนาดยางรถยนต์จะช่วยให้คุณสามารถเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของคุณรวมไปถึงไลฟ์สไตล์การใช้งานรถ ทั้งนี้การคำนวณขนาดยางรถยนต์สามารถคำนวณได้ 2 แบบ ได้แก่
ตัวเลข 3 หลัก แสดงความกว้างยางเป็น มม. เช่น 205/45R17
205 หมายถึง หน้ายางกว้าง 205 มิลลิเมตร
45 หมายถึง อัตราความสูงแก้มยาง 45% (ซีรีย์)
17 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 17 นิ้ว
หน้ายาง*(อัตราความสูงแก้มยาง/100)
205*(45/100)
= 92.25 มม. หรือ 3.6 นิ้ว (92.25*25.4),1 นิ้ว = 25.4 มม.
ตัวเลข 2 หลัก แสดงเส้นผ่าศูนย์กลางยาง เช่น 31*10.5R15
31 หมายถึง ความสูงของยาง 31 นิ้ว
10.5 หมายถึง หน้ายางกว้าง 10.5 นิ้ว
15 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 15 นิ้ว
ความสูง – ขอบล้อ/2
(31-15)/2 = 8 นิ้ว
(แก้มยาง/หน้ายาง)
8/10.5 = 76% หรือ ซีรีย์ 76
เมื่อเราทราบขนาดยางรถยนต์แล้ว มาทำความรู้จักกับประเภทของยางรถยนต์ที่ใช้กันส่วนใหญ่ ซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่ HT,AT,MT
ยางมาตรฐานสำหรับรถยนต์ใหม่และนิยมใช้กันมากที่สุด โดยจะมีอักษร HT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานบนถนนทั่วไป โดยมีดอกยางเล็ก เรียบ ละเอียด มีคุณสมบัติรีดน้ำดี เกาะถนน เหมาะสำหรับ รถยนต์เก๋ง กระบะทั่วไป แต่ไม่รองรับรถกระบะที่ต้องแบกรับน้ำหนักเยอะ ๆ ได้
ยางรถยนต์เหมาะสำหรับรถกระบะแบบ 4*4 โดยมีอักษร AT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานบนถนนทั่วไป หรือลุยบนพื้นถนนขรุขระได้ระดับหนึ่ง ดอกยางสะบัดดินออกได้ดี เหมาะสำหรับรถกระบะที่ใช้งานทั่วไป หรือใช้งานลุยเข้าป่าได้
ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์สายลุยโดยเฉพาะ โดยมีอักษร MT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานหนัก ลุยบนถนนสภาพแย่ ๆ ได้ดี เช่น ดินโคลน ลุยป่า เป็นต้น โดยมีร่องยางลึก หนา ใหญ่ จึงสามารถดีดดิน โคลนออกจากยางได้อย่างดี แต่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานบนถนนทั่วไปได้
เพราะยางรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การเดินทางมีความราบรื่น เดินทางไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย ฉะนั้นการดูแลรักษายางรถยนต์ให้สามารถใช้ได้นาน ยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้หนึ่งในเทคนิคการยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์นั่นก็คือ การเติมลมยางรถยนต์ เป็นเรื่องง่ายที่หลายคนอาจมองข้ามกัน เนื่องจากบางคนใช้งานรถโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเติมลมยาง ปล่อยให้ยางอ่อน บางคนฟังจากคนอื่นว่าต้องเติมลมยางเท่านี้ โดยที่อาจจะไม่ตรงสเป็กที่กำหนดไว้ โดยปกติการเติมลมยางรถยนต์ ประเภทรถเก๋งจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้ามีการบรรทุกหรือมีผู้โดยสารเต็มคันรถ จะอยู่ที่ประมาณ 33-35 PSI ส่วนรถกระบะ จะเติมลมยางรถยนต์ล้อหน้าอยู่ที่ 36-38 PSI ล้อหลัง 40-42 PSI หรือหากมีการบรรทุกของเต็มท้ายรถ 47-51 PSI แต่หากจำแนกประเภทรถออกมา จะพบว่าการเติมลมยางรถยนต์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้
– รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมแรงลมที่ 25 – 30 ปอนด์
– รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมแรงลมที่ 30 – 35 ปอนด์
– รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมแรงลมที่ 35 – 40 ปอนด์
– รถตู้บรรทุก 7 – 10 คน ควรเติมแรงลมที่ 43 – 55 ปอนด์
โดยความถี่ในการเติมลมยางรถยนต์นั้น ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเติมเมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานรถบ่อยแค่ไหน ปกติแล้วลมยางรถยนต์จะลดลง 2-3 PSI ในหนึ่งเดือน หากไม่ค่อยได้ขับขี่รถบ่อยควรเติมลมยางรถยนต์ เดือนละครั้งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ควรหมั่นตรวจสอบเช็กลมยางรถยนต์อยู่เสมอจึงจะดีที่สุด ทั้งนี้การเติมลมยางรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง หรือปล่อยให้ยางแบนอยู่บ่อยครั้ง จะส่งผลเสียต่อยางรถยนต์รวมไปถึงการเดินทางของคุณและยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหายางรถยนต์รั่ว หรือยางระเบิด เพราะความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถอีกด้วย นอกจากนี้การเติมลมยางรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง จะผลเสียอะไรได้อีกบ้าง
1.หากแรงดันยางรถยนต์มีน้อยเกินไป
หากมีการเติมลมยางรถยนต์น้อยเกินไป หรือขับรถแบบลมยางอ่อน ยางแบน มีความเสี่ยงที่จะทำให้ยางรถยนต์ระเบิดง่ายขึ้น เพราะเนื้อยางที่ผิดรูปจะเสียดสีกับผิวถนนมาก จนเกิดแผลที่แก้มยาง โอกาสที่ยางรถยนต์จะระเบิดจากความร้อนสะสมในยางรถยนต์จึงมีสูงมาก
2.หากแรงดันยางรถยนต์มีมากเกินไป
หากมีการเติมลมยางรถยนต์มากเกินไป จะทำให้ยางรถยนต์แข็ง เกาะถนนไม่ดีนัก อาจจะเป็นอันตรายในการขับขี่ทำให้รถเบรกไม่อยู่ ยางไม่เกาะถนนทำให้ลื่นได้ง่าย ยิ่งในช่วงหน้าฝนจะเกิดอันตรายได้ง่าย
การดูแลยางรถยนต์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ยางรถยนต์ของเราได้นาน และมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถของคุณ ทั้งนี้ในการดูแลรักษายางรถยนต์มีดังนี้
1.เติมลมยางให้พอดี
หมั่นสังเกตลมยางอยู่เสมอ หากปล่อยให้ลมยางอ่อน ความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน
2.สลับยางรถยนต์
เมื่อใช้ยางรถยนต์ไปสักระยะ ยางจะมีการสึกไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการสลับยางทุก 10,000 กม. เพื่อให้หน้ายางสึกเท่ากัน และหมั่นเช็กลมยางให้พอดีกับการใช้งานด้วย
3.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เป็นการสร้างสมดุลให้กับล้อรถ หากศูนย์ถ่วงล้อรถไม่ดีจะทำให้พวงมาลัยสั่นขณะขับรถซึ่งอันตรายต่อการขับรถ ปกติแล้วหลังจากที่คุณเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทุก3 ปี หรือ 50,000 กม. จะมีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อด้วย
4.เช็กดอกยางรถ
นอกจากจะเช็กลมยางแล้ว การเช็กดอกยางทุก 6 เดือน โดยดูจากสะพานยางหรือร่องนูนที่ร่องยาง หากคุณเห็นสะพานยางหรือยางมีรอยแตกแล้ว แสดงว่ายางรถยนต์เส้นนั้นหมดอายุต้องเปลี่ยนเส้นใหม่เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
5.เลือกยางรถยนต์ให้ถูกประเภท
ทั้งนี้การเลือกใช้ยางรถยนต์ประเภทไหน ควรจะเลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งานและประเภทรถ หากใช้งานบนถนนทั่วไป ควรจะเลือก HT หากใช้รถกระบะ ที่ใช้งานทั้งในเมืองหรือออกไปลุยในวันหยุด อาจจะเลือกยางรถยนต์ AT หรือหากเป็นสายลุยเน้นเที่ยวป่าเที่ยวเขาโดยเฉพาะ เลือกใช้ยาง MT นั่นเอง
การปล่อยให้ลมยางรถยนต์อ่อนเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถยางรั่ว เพราะเนื้อยางไปเสียดสีกับผิวถนนจนทำให้ยางสึก ยางเป็นแผลและเกิดรอยรั่วได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้สาเหตุทที่ทำให้ยางรถยนต์รั่วอาจเกิดจากหลายสาเหตุเช่น ถูกของมีคมทิ่ม จุกลมยางรถยนต์เสื่อมสภาพ ล้อคด เกิดจากการขับรถกระแทกอย่างรุนแรง ขอบยางรถยนต์ชำรุด เกิดจากความเสียหายที่ขอบยางในใต้ล้อ แก้มยางชำรุด เนื่องมาจากการขับรถเบียดขอบทางจนทำให้ยางล้อรถผิดรูป ทำให้รถยางรั่วนั่นเอง อย่างน้อยควรจะมีสิ่งเหล่านี้ติดรถไว้เผื่อเกิดเหตุยางรถยนต์รั่วจะได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองดังนี้
1.ชุดปะยางฉุกเฉิน
หากคุณมีชุดปะยางฉุกเฉิน คุณสามารถปะยางรถรั่วเบื้องต้นได้ โดยเริ่มจากนำกระปุกน้ำยาปะยางกับปั๊มลมไฟฟ้า เสียบไปยังจุกลมยางรถล้อที่แบน จากนั้นทำการเปิดสวิตช์กุญแจ แล้วค่อยเปิดปั๊มลมไฟฟ้าเพื่อให้เครื่องทำงาน เมื่อเกจวัดปั๊มลมขึ้นไปถึงค่าที่กำหนดแล้วให้ทำการปิดสวิตช์ปั๊มลมไฟฟ้า จากนั้นลองขับรถไปสักพักด้วยความเร็วไม่เกิน 80กม./ช.ม. ประมาณ 5 กม. เพื่อเช็คว่าถ้ายางที่ทำการปะฉุกเฉินไปไม่มีการรั่วซึมของลม ก็สามารถขับรถต่อไปเพื่อไปร้านปะยางรถหรือศูนย์บริการเพื่อทำการเปลี่ยนหรือแก้ไขปัญหายางรถต่อไป
2.อุปกรณ์และทักษะการเปลี่ยนยางอะไหล่
รถทุกคันจะมีอย่างอะไหล่ติดรถอยู่แล้ว คุณสามารถเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเองได้ หากคุณมีเครื่องมือในการเปลี่ยนยางอะไหล่ ได้แก่ ยางอะไหล่ แม่แรงยกรถ ด้ามหมุนแม่แรงยกรถ และบล็อกตัว L
1.สอดแม่แรงเข้าใต้ท้องรถ ตรงจุดที่รับน้ำหนักรถได้เพื่อทำการยกรถ แต่ยังไม่ต้องยกรถ
2.คลายน็อตล้อด้วยบล็อก โดยทวนเข็มนาฬิกา ส่วนเวลาใส่ก็ใส่ตามเข็มนาฬิกา แต่ยังไม่ต้องเอาน็อตออกจากล้อ
3.ใช้แม่แรงยกล้อลอยขึ้นเหนือพื้น แล้วค่อย ๆ ถอดน็อตล้อออก ถอดยางที่รั่วออกแล้วเอายางอะไหล่ใส่กลับเข้าไปแทน
4.ขันน็อตเข้าไปก่อนให้พอตึง จากนั้นลดแม่แรงลงให้ล้อติดถึงพื้น
5.นำแม่แรงออก
6.นำบล็อกขันน็อตล้อให้แน่นที่สุด เป็นอันเสร็จ
เชื่อว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถอ่านตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถยนต์เพื่อทราบขนาดยางรถยนต์รวมไปถึงอายุการใช้งานของยางรถยนต์ได้แล้ว เมื่อเวลาที่คุณต้องไปเลือกซื้อยางรถยนต์ใหม่คุณจะได้สามารถบอกกับช่างได้ว่าต้องการขนาดยางรถยนต์แบบไหน และสามารถรู้อายุยางรถยนต์ได้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันเวลาที่บางคนไปซื้อยางรถยนต์มือสองมาใช้ จะได้ไม่ถูกย้อมแมวหรือถูกเอายางรถยนต์เก่ามาขายและอ้างว่าเป็นยางมือสองใช้งานน้อยนั่นเอง ทั้งนี้นอกจากเรื่องขนาดยางรถยนต์ที่ผู้ขับขี่ควรให้ความสำคัญแล้ว การทำประกันรถยนต์ก็ควรให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะหากรถของคุณเกิดปัญหาฉุกเฉินที่ไหน ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุ รถเสีย รถยางรั่ว รถสตาร์ทไม่ติด หรืออุบัติเหตุรถชน บริษัทประกันจะเข้ามาดูแลคุณในยามฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชม. เรียกได้ว่านอกจากจะให้ความคุ้มครองในเรื่องอุบัติเหตุแล้ว ยังช่วยดูแลคุณหากเกิดปัญหารถเสียกลางทางได้อีกด้วย และยังสามารถซื้อประกันรถยนต์ ผ่อนสบาย 0% นาน 12 เดือน ที่เฮงลิสซิ่ง สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ร่วมอนุรักษ์การสืบทอดศิลปะ ภูมิปัญญาท้องถิ่นอันดีงามของชาวบ้านนิคมทุ่งโพธิ์ทะเล จังหวัดกำแพงเพชร ตั้งจุดบริการน้ำดื่ม “น้ำเฮง น้ำใจ” แก่ประชาชน
การสร้างภูมิคุ้มกันการเงินที่ดี คือการศึกษาความรู้ทางการเงินตั้งแต่ยังเด็ก วันนี้เราจะชวนคุณมาสร้างภูมิคุ้มกันการเงินที่ดีในบทความนี้
มัดรวมเทคนิค วางแผนการเงิน ในชีวิตประจำวัน จากวัยทำงานสู่วัยเกษียณ เพิ่มความั่นคงทางการเงิน ไม่เกิดปัญหาหนี้สินในอนาคต อ่านต่อในบทความนี้
ความรู้ทางการเงิน Financial Literacy เป็นการทำความเข้าใจการเงินในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้คุณมีนิสัยทางการเงินที่ดีในอนาคต
ทักษะการเงิน ความรู้ทางการเงิน เป็นสิ่งสำคัญแต่กลับไม่มีการสอนในโรงเรียน แต่วันนี้เราจะมาแนะนำทักษะทางการเงินที่ควรมีติดตัว รู้ก่อนรวยก่อน
‘เฮงลิสซิ่ง’ ร่วมใจทำความดีบริจาคโลหิตและน้ำดื่ม เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ จ.เชียงใหม่ 2567 บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ร่วมทำความดีเพื่อสังคม สนับสนุนน้ำดื่มและนำพนักงานจิตอาสา เข้าร่วมบริจาคโลหิตในงาน…