คงเป็นเรื่องปวดหัวแน่ ๆ ถ้าเช้ามากำลังจะออกไปทำงานแล้วสตาร์ทรถไม่ติด เพราะทั้งเสียเวลา เสียอารมณ์ก่อนไปทำงาน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะโทษว่ามาจากเจ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แต่ว่าถ้าแบตรถเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ทำไมยังเกิดปัญหาสตาร์ทรถไม่ติดอีกละ สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับรถ รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด มันเกิดจากอะไรกันแน่ เรามาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ 

รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด เกิดจากสาเหตุใด 

ถ้าก่อนออกบ้านไปทำงานแล้วพบว่ารถของคุณสตาร์ทไม่ติด จะไปโทษแบตเตอรี่ก็ไม่ได้เพราะเพิ่งไปเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ แบบนี้ปวดหัวแน่นอนเพราะ รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด แล้วอะไรคือสาเหตุของรถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบว่าทำไม รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าอะไรบ้างที่อาจเป็นสาเหตุของอาการรถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด เพราะถ้าเราเพิ่งเปลี่ยนแบตรถมาใหม่สิ่งแรกที่ตัดออกไปได้เลยคือเรื่องของแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม สองคือเรื่องของขั้วแบตเตอรี่ตัดปัญหาเรื่องขั้วแบตเตอรี่เสื่อมหรือสกปรกออกไป  แต่แบตรถใหม่อาจจะแบตหมดได้ ถ้าหากคุณเผลอเปิดไฟหน้ารถยนต์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถทิ้งไว้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นแนะนำว่าให้ลองจั้มพ์แบตเตอรี่รถยนต์ หรือการพ่วงแบตรถดูก่อน แล้วค่อยลองสตาร์ทรถใหม่ แต่เมื่อรถติดเครื่องแล้วให้ขับรถไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งดับเครื่อง เพื่อให้แบตเตอรี่รถยนต์ได้ชาร์จไฟไปด้วย  แต่ถ้าลองทำตามวิธีที่เราได้แนะนำไปแล้ว รถยังสตาร์ทไม่ติดอีก อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่รถยนต์ เช่น ไดชาร์จเสื่อม/ไดชาร์จเสีย ไดสตาร์ทเสีย ปั๊มติ๊กเสีย ระบบไฟฟ้ามีปัญหา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด มาดูว่าแต่ละสาเหตุมีอาการสาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง 

ไดสตาร์ทหรือมอเตอร์สตาร์ทเสีย 

รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด อาจจะเกิดจากไดสตาร์ทหรือมอเตอร์สตาร์ทเสีย สามารถทดสอบโดยการลองดูที่หน้าปัดไฟถ้าไฟแบตเตอรี่ขึ้นตามปกติ ให้ลองสตาร์ทรถแล้วฟังเสียง ถ้ามีเสียงแชะ ๆ และรถสตาร์ทไม่ติด นั่นแสดงว่าไดสตาร์ทของรถคุณเสีย อาจจะเกิดจากสาเหตุ ฟิวส์มอเตอร์สตาร์ทขาด สายไฟที่ต่อไปยังสตาร์ทมอเตอร์อาจชำรุด หรือแปรงถ่านที่อยู่ในมอเตอร์สตาร์ทหมด หากเจอปัญหาดังกล่าวให้นำรถไปตรวจเช็กเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป 

ปั๊มติ๊กเสีย 

ปั๊มติ๊กมีหน้าที่ดูดน้ำมันจากตัวถังไปยังเครื่องยนต์ ถ้าปั๊มติ๊กเสียทำให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดน้ำมันขึ้นมา และไม่สามารถจุดระเบิดครื่องยนต์ได้ ส่วนใหญ่ปั๊มติ๊กเสียมักจะเกิดสาเหตุจากการปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันโชว์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด โดยมักพบในรถรุ่นเก่า ซึ่งในรถรุ่นใหม่ปั๊มติ๊กจะไม่เหมือนกับรถรุ่นเก่าแล้ว ทำให้ปั๊มติ๊กรถรุ่นเก่าค่อนข้างหาได้ยากอีกด้วย 

ระบบไฟฟ้ามีปัญหา 

หากรถสตาร์ทไม่ติด บิดกุญแจแล้วไม่มีไฟหน้าปัดโชว์ขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าระบบไฟฟ้าของรถมีปัญหาโดยมีสาเหตุมาจากหนูเข้ามากัดสายไฟขาด หรือกล่องควบคุมเครื่องยนต์ หรือ ECU ของรถคุณมีปัญหา ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง 

ไดชาร์จเสีย 

ไดชาร์จ มีหน้าที่สร้างกระแสไฟจากการที่เครื่องยนต์ทำงานแล้วส่งไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่  หากไดชาร์จเสียแล้วจะไม่สามารถส่งไฟไปยังแบตเตอรี่ ทำให้มีอาการคล้ายแบตเตอรี่เสื่อมและทำให้รถสตาร์ทไม่ติดเช่นเดียวกัน สามารถทดสอบโดยการพ่วงแบตเตอรี่ พอรถติดเครื่องแล้ว ให้ถอดขั้วแบตรถออก หากดึงขั้วแบตออกแล้ว เครื่องยนต์ดับทันที แสดงว่าไดชาร์จรถเสียแล้ว 

วิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด 

 วิธีจั้มแบตรถยนต์ การจั้มแบตรถ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ที่หลายคนเรียกกัน เป็นการกระตุ้นการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ ช่วยทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ โดยใช้วิธีจั้มแบตรถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถจากแบตเตอรี่ของรถอีกคันหนึ่งโดย วิธีจั้มแบตรถยนต์ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 

1.การเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ 

เริ่มต้นวิธีจั้มแบตรถยนต์ในขั้นตอนแรก ก่อนอื่นจะต้องเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่หรือสายพ่วงแบตรถยนต์ ซึ่งสิ่งนี้ควรจะมีติดรถไว้ทุกคัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้นำมาใช้ได้ สำหรับสายจั้มแบตเตอรี่จะมีอยู่ 2 เส้น สายสีแดงคือประจุไฟขั้วบวก และสายสีดำหรือสีเขียวคือประจุไฟขั้วลบ โดยความยาวของสายจั้มแบตเตอรี่นั้น ควรจะยาวพอที่จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่รถจากอีกคันหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องจอดรถชิดกันมากนัก 

2.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทั้งหมดของรถ 

หลังจากที่เตรียมสายจั้มแบตเตอรี่และมีรถยนต์หรือแบตเตอรี่อีกก้อนสำหรับพ่วงสายจั้มแบตแล้ว นำรถมาจอดใกล้กันแต่ไม่ควรจอดรถชิดกันเกินไป ป้องกันรถเกิดประกายไฟ 

3.ต่อสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์เข้าด้วยกัน 

นำสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างที่เป็นสีแดง หรือขั้วบวก ต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่มีปัญหา แล้วนำสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เป็นสีดำ หรือขั้วลบ ไปต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถยนต์อีกคันที่ปกติ ส่วนปลายอีกด้านให้หนีบตรงโลหะของเครื่องยนต์   

4.สตาร์ทเครื่องยนต์ 

สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันปกติก่อน ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่หมดเพื่อทดสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่หรือยัง 

4.ถอดสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ 

ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ โดยต้องถอดตามขั้นตอน ดังนี้ เริ่มต้นจากขั้วลบจากรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วค่อยถอดขั้วลบและขั้วบวกของรถคันปกติตามลำดับ ตามด้วยขั้วบวกของรถที่แบตเตอรี่หมด โดยมีข้อระวังตรงที่ไม่ให้สายจั๊มแบตเตอรี่ต่างขั้วมาสัมผัสกัน 

ข้อควรระวังในการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ 

แม้ว่าวิธีการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ จะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ยังมีข้อควรระวังในการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อยู่บ้าง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย เช่น ต้องปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถทั้งสองคัน ไม่ว่าจะเป็น  ไฟหน้า ระบบแอร์ วิทยุ และเครื่องเสียง เป็นต้น รวมไปถึงห้ามสูบบุหรี่ หรือไฟแช็กเพราะจะทำให้เกิดการก่อประกายไฟได้ และอย่าให้ปลายสายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัส เพราะอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ 

สังเกตมั้ยว่าเวลาที่รถสตาร์ทไม่ติดทีไร เรามักจะโทษว่าแบตเตอรี่รถของเรามีปัญหาก่อนเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้วที่เราได้กล่าวไปข้างต้น รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมดไม่ได้เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม อย่างไรก็ตามสำหรับรถที่แบตเสื่อม จะมีอาการอย่างไรบ้างนั้น เราจะอธิบายอาการรถสตาร์ทไม่ติดที่เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมกันค่ะ 

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม มีอาการอย่างไร? 

หากรถของคุณมีอาการแบตเสื่อม จะมีการแสดงความผิดปกติต่าง ๆ ออกมา เรามาดูกันว่าจะมีอาการใดบ้างที่แสดงว่ารถยนต์ของคุณแบตเสื่อม  ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถใหม่แล้ว 

1.รถสตาร์ทติดยาก 

ปัญหารถสตาร์ทติดยากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุนั้นคือแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม อายุการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อม สังเกตอาการได้จาก หากบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วมีเสียงแชะแล้วเงียบ ไฟแบตเตอรี่ไม่โชว์ที่หน้าปัด 

2.ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ  

ลองสังเกตการณ์ทำงานของระบบไฟต่าง ๆ เช่น หากพบว่าไฟหน้ารถส่องสว่างน้อยลง หรือไฟภายในห้องโดยสารส่องสว่างน้อยลง หรือกระจกไฟฟ้าขึ้นลงช้ากว่าปกติ นี่ก็เป็นสัญญาณแบตเสื่อมเช่นกัน 

3.เสียงแตรเบาลง 

หากพบว่าเสียงแตรรถเบาลงกว่าปกติ ความดังของแตรลดลง บีบแตรแล้วไม่ดัง แสดงว่ากำลังไฟในแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ หรือแบตเสื่อมนั่นเอง 

4.สัญญาณไฟรูปแบตเตอรี่โชว์ 

หากสัญญาณไฟหน้าปัดรถ มีรูปแบตเตอรี่โชว์ แสดงว่าแบตเตอรี่รถกำลังมีปัญหา เกิดจากปัญหาไดชาร์จ สายแบตหลวมหรือสึกกร่อน จะเป็นจะต้องให้ช่างตรวจเช็คให้  

5.ใช้งานแบตเตอรี่เกินปีครึ่ง 

หากแบตเตอรี่รถที่คุณใช้อยู่มีการใช้งานมาเกินปีครึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ใกล้หมด แบตเสื่อม เพราะปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ 1-3 ปี ตามประเภทของแบตเตอรี่นั่นเอง 

ปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเจ้าแบตเตอรี่รถยนต์เสมอไป เพราะอาจเกิดจาก รถสตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด ก็ได้ แต่อาจจะเกิดจากชิ้นส่วนอื่นภายในรถเกิดความผิดปกติ เช่น ไดสตาร์ทหรือมอเตอร์สตาร์ทเสีย ไดชาร์จเสีย ปั๊มติ๊กเสีย ระบบไฟฟ้ามีปัญหา ซึ่งหากพบปัญหารถสตาร์ทไม่ติดที่ไม่ได้เกิดจากแบตเตอรี่รถ แนะนำให้นำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาต่อไป ทั้งนี้การป้องกันความเสี่ยงจากการเดินทาง นอกจากจะต้องหมั่นตรวจเช็กรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอแล้ว การทำประกันรถยนต์ เป็นการช่วยเพิ่มความคุ้มครองในการเดินทาง ทั้งอุบัติเหตุไม่คาดฝันบนท้องถนน ขับรถชนต้นไม้ หรือรถเสียกลางทาง* สนใจสอบถาม สมัครประกันรถยนต์  หรือ สนใจสินเชื่อเปลี่ยนรถเป็นเงิน  คลิกปุ่มสมัครด้านล่างเลย 

สมัครสินเชื่อ