ปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม เป็นหนึ่งในอาการรถเสียที่ผู้ใช้รถหลายท่านอาจเคยเจอมาก่อน การพกสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ติดไว้ในรถและรู้ วิธีจั้มแบตรถยนต์ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถควรรู้จักและทำความเข้าใจ เพราะหากเกิดอาการรถสตาร์ทไม่ติดเพราะสาเหตุมาจากแบตเตอรี่เสื่อม จะได้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง

วิธีจั้มแบตรถยนต์ ทำอย่างไร

วิธีจั้มแบตรถยนต์ การจั๊มพ์แบตรถ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ที่หลายคนเรียกกัน เป็นการกระตุ้นการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ ช่วยทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ โดยใช้วิธีจั้มแบตรถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถจากแบตเตอรี่ของรถอีกคันหนึ่งโดย วิธีจั้มแบตรถยนต์ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.การเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์

เริ่มต้นวิธีจั้มแบตรถยนต์ในขั้นตอนแรก ก่อนอื่นจะต้องเตรียมสายจั้มแบตเตอรี่หรือสายพ่วงแบตรถยนต์ ซึ่งสิ่งนี้ควรจะมีติดรถไว้ทุกคัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้นำมาใช้ได้ สำหรับสายจั้มแบตเตอรี่จะมีอยู่ 2 เส้น สายสีแดงคือประจุไฟขั้วบวก และสายสีดำหรือสีเขียวคือประจุไฟขั้วลบ โดยความยาวของสายจั้มแบตเตอรี่นั้น ควรจะยาวพอที่จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่รถจากอีกคันหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องจอดรถชิดกันมากนัก

2.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทั้งหมดของรถ

หลังจากที่เตรียมสายจั้มแบตเตอรี่และมีรถยนต์หรือแบตเตอรี่อีกก้อนสำหรับพ่วงสายจั้มแบตแล้ว นำรถมาจอดใกล้กันแต่ไม่ควรจอดรถชิดกันเกินไป ป้องกันรถเกิดประกายไฟ

3.ต่อสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์เข้าด้วยกัน

นำสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างที่เป็นสีแดง หรือขั้วบวก ต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่มีปัญหา แล้วนำสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เป็นสีดำ หรือขั้วลบ ไปต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถยนต์อีกคันที่ปกติ ส่วนปลายอีกด้านให้หนีบตรงโลหะของเครื่องยนต์  

4.สตาร์ทเครื่องยนต์

สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันปกติก่อน ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่หมดเพื่อทดสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่หรือยัง

4.ถอดสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์

ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ โดยต้องถอดตามขั้นตอน ดังนี้ เริ่มต้นจากขั้วลบจากรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วค่อยถอดขั้วลบและขั้วบวกของรถคันปกติตามลำดับ ตามด้วยขั้วบวกของรถที่แบตเตอรี่หมด โดยมีข้อระวังตรงที่ไม่ให้สายจั๊มแบตเตอรี่ต่างขั้วมาสัมผัสกัน

ข้อควรระวังในการจั้มแบตรถยนต์

แม้ว่าวิธีการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ จะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ยังมีข้อควรระวังในการจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อยู่บ้าง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย เช่น ต้องปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถทั้งสองคัน ไม่ว่าจะเป็น  ไฟหน้า ระบบแอร์ วิทยุ และเครื่องเสียง เป็นต้น รวมไปถึงห้ามสูบบุหรี่ หรือไฟแช็กเพราะจะทำให้เกิดการก่อประกายไฟได้ และอย่าให้ปลายสายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัส เพราะอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้

หากพบว่ารถสตาร์ทไม่ติดเนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม โดยสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมนั้นเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุทั้งจากผู้ใช้รถเอง สภาพแวดล้อมและการใช้งานรถ เรามาดูกันว่าสาเหตุใดบ้างที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณเสื่อม รถสตาร์ทติดยากมีอะไรบ้าง

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็ว

แม้ว่าแบตเตอรี่แต่ละแบบจะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ที่แตกต่าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี แต่ทั้งนี้ยังมีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ได้แก่

1.เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้

บางคนอาจจะเคยพบว่าเช้ามาก่อนออกไปทำงาน รถสตาร์ทไม่ติดเนื่องจากเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้จนทำให้แบตเตอรี่รถยนต์หมดภายในข้ามคืน ทั้งนี้การลืมปิดไฟหน้าบ่อยครั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วได้

2.รถจอดนานมากเกินไป

หากคุณกำลังขับรถอยู่และแบตเตอรี่รถยนต์มีอาการเหมือนแบตเตอรี่รถยนต์หมด แสดงว่าอาจเกิดปัญหาผิดปกติที่ระบบชาร์จ หากไม่รีบแก้ไขจะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ลดลงและเสื่อมเร็วกว่าปกติ

3.แบตเตอรี่รถเสื่อม

โดยปกติแล้วอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม มักจะแสดงอาการเช่น สตาร์ทรถติดยากในตอนเช้า จอดรถทิ้งไว้นาน ๆ จอดรถข้ามวันพอเช้ามาก็สตาร์ทรถไม่ค่อยติด แต่หากแบตเตอรี่เสื่อมจนไม่มีไฟเหลือเลย อาการคือรถสตาร์ทไม่ติดเลย

4.รถจอดทิ้งไว้นาน

รถที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ หรือไม่ได้มีการเอารถออกมาใช้งานเลย เมื่อคิดจะเอารถออกมาใช้งานหรือมาอุ่นเครื่องรถ เจ้าของรถมักจะเจออาการสตาร์ทรถไม่ติด จนทำให้แบตเตอรี่หมด เมื่อจอดทิ้งไว้นาน ๆ แนะนำให้ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออกไว้เลย หรือหากไม่ค่อยได้ใช้รถหรือนาน ๆ ใช้รถ ควรจะหมั่นสตาร์ทรถทิ้งไว้สัก 10 นาที อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ป้องกันไม่ใช้แบตเตอรี่เสื่อมและช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ด้วย

5.สภาพอากาศร้อนและหนาวจัด

สภาพอากาศเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ให้เสื่อมเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนมากเกินไป หรืออากาศเย็นจัด แต่กรณีนี้จะเกิดกับแบตเตอรี่ที่มีสภาพเก่าหรือเสื่อมสภาพไปแล้ว

6.เชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวมหรือสนิม

หากขั้วแบตเตอรี่มีสนิมรอบ ๆ หรือการเชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวม เนื่องจากไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์สตาร์ท เกิดการดึงกระแสไฟจากแบตเตอรี่และระบบชาร์จ เป็นสาเหตุที่ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

อาการแบตเตอรี่เสื่อม

หากอายุการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมลง มักจะแสดงอาการต่าง ๆ เรามาดูกันว่าจะมีอาการใดบ้างที่แสดงว่าแบตเตอรี่ของคุณกำลังเสื่อมสภาพ ผิดปกติหรือเสื่อมสภาพแล้ว

1.รถสตาร์ทติดยาก

ปัญหารถสตาร์ทติดยากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุนั้นคือแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม อายุการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อม สังเกตอาการได้จาก หากบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วมีเสียงแชะแล้วเงียบ ไฟแบตเตอรี่ไม่โชว์ที่หน้าปัด

2.ระบบไฟส่องสว่างน้อยลง

ลองสังเกตการทำงานของระบบไฟของรถ หากพบว่าไฟหน้ารถส่องสว่างน้อยลง หรือไฟภายในห้องโดยสารส่องสว่างน้อยลง หรือเริ่มติด ๆ ดับ ๆ เป็นอาการที่กำลังจะบอกคุณว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพถึงเวลาที่อาจจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่แล้ว

3.กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง

หากกดเพื่อปรับกระจกไฟฟ้าแล้วรู้สึกว่ามีการทำงานที่ช้าลง ต้องกดนานกว่ากระจกไฟฟ้าจะทำงาน นั่นแสดงว่าแบตเตอรี่รถยนต์ออาจจะกำลังเสื่อมลงนั่นเอง

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ คือ สิ่งสำคัญภายในรถที่ทำหน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าเมื่อสตาร์ทรถยนต์ หลังจากที่สตาร์ทรถ แบตเตอรี่จะส่งกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถทำงานได้อย่างปกติ หากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมแน่นอนว่าจะส่งผลให้การทำงานของรถผิดปกติ ปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ 2-3 ปี ปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์จะมีความแตกต่างกันตามประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ โดยแบตเตอรี่รถยนต์นั้นมี 4 ประเภทด้วยกันดังต่อไปนี้

แบตเตอรี่น้ำ

แบตเตอรี่น้ำ ถือเป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม การใช้งานจะต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่อยู่เสมอ ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูก ทนทาน อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์นี้จะนานกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 1-2 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี

แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

แบตเตอรี่กึ่งแห้ง จะคล้ายกับแบตเตอรี่แห้งแต่ยังมีรูเติมน้ำกลั่น เติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่ไม่ต้องดูแลแบตเตอรี่ประเภทนี้อะไรมากมายนัก ข้อดีของแบตเตอรี่ประเภทนี้ คือ มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 2 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 ปี

แบตเตอรี่แห้ง

แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ดูแลรักษาง่าย แต่มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 5 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น รุ่นรถ การใช้งาน การดูแลรักษา สภาพอากาศ เป็นต้น

แบตเตอรี่ไฮบริด

แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบลูกผสมระหว่าง แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และ แบตเตอรี่น้ำ จะมีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง แต่ดูแลง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ อาศัยการเติมน้ำกลั่นประมาณ 6-9 เดือนต่อครั้ง

1.อย่าจอดรถทิ้งไว้นาน

หากรถจอดทิ้งไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะหมดและหายไปเอง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ อย่างน้อยควรสตาร์ทรถและนำรถไปวิ่งอุ่นเครื่องบ้าง เพื่อให้แบตเตอรี่รถยนต์ได้ทำการชาร์จไฟไปในตัวด้วย

2.หลีกเลี่ยงการเดินทางในระยะสั้น

ในการใช้รถเดินทางแต่ละครั้ง หากเราใช้รถสำหรับระยะการเดินทางไกล แบตเตอรี่รถยนต์จะสามารถจ่ายไฟและชาร์จกลับเข้ามาในระหว่างที่ขับรถได้ ทั้งนี้หากเป็นการใช้ระยะทางสั้น ๆ แบตเตอรี่จะไม่มีเวลาที่จะชาร์จไฟกลับเข้ามาในแบตเตอรี่รถยนต์ได้เลย ทำให้กำลังไฟหายไปในช่วงนั้น และหากเป็นบ่อยครั้งจะไม่สามารถชาร์จไฟเพื่อสตาร์ทรถได้

3.ขจัดคราบสกปรกที่แบตเตอรี่

หากพบคราบขี้เกลือเกาะที่ขั้วแบตเตอรี่ มีลักษณะเป็นคราบสีเขียวอมฟ้า ให้ความสะอาดคราบขี้เกลือนี้ได้ด้วยการใช้น้ำโซดากับแปรงสีฟัน ขัดไปที่ขั้วแบตเตอรี่ โดยค่อย ๆ ขัดสักพักขั้วแบตเตอรี่ก็จะกลับมาสะอาด นอกจากแบตเตอรี่รถยนต์จะสะอาดแล้ว ยังทำให้กระแสไฟสามารถส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของรถได้ดี รถสตาร์ทติดง่าย ช่วยให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไม่เสื่อมสภาพง่ายอีกด้วย

หวังว่าผู้ใช้รถทุกท่านจะสามารถนำเอาวิธีจั้มแบตรถยนต์นี้นำไปใช้ในกรณีที่แบตเตอรี่รถยนต์หมดกลางทางหรือสตาร์ทรถไม่ติด ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือ รถยนต์ทุกคันควรมีสายจั้มแบตเตอรี่รถยนต์ หรือสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้ทุกคัน เพราะหากไม่มีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้ ก็จะไม่สามารถให้อุปกรณ์ใด ๆ มาช่วยชาร์จแบตเตอรี่รถของคุณได้เลย เว้นเสียแต่ว่ารถอีกคันที่เข้ามาช่วยเหลือคุณมีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้ แต่หากพ่วงแบตเตอรี่แล้ว รถสตาร์ทไม่ติดเหมือนเดิม จำเป็นจะต้องโทรเรียกช่างซ่อมรถเพื่อนำรถไปตรวจสอบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และแก้ไขเพื่อให้รถของคุณกลับมาใช้งานได้ตามปกติหรือใครที่ทำประกันรถเอาไว้ ก็ยังสามารถใช้บริการรถยกตลอด 24 ชั่วโมงในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินได้อีกด้วยนั่นเอง