เนื้อหาของบทความ

การ อบรมใบขับขี่ออนไลน์ สมัยนี้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยืนต่อคิวที่ขนส่งตั้งแต่เช้าตรู่ให้เสียเวลา และยังไม่ต้องไปนั่งเสี่ยงอยู่กับกลุ่มคนเยอะ ๆ เพื่อลดการระบาดของเชื้อโรค และที่สำคัญในการใช้งาน DLT e-Learning ก็สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก วันนี้เรา จะมาแนะนำและอธิบายการอบรมใบขับขี่ออนไลน์มาฝากกันค่ะ

การ อบรมใบขับขี่ออนไลน์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร

โดยปกติแล้วการเดินทางไปติดต่องานราชการที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งประจำจังหวัด เพื่อสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ต่อใบขับขี่รถ จะต้องมีการไปยืนรอต่อคิวแต่เช้าเพื่อรับบัตรคิว รับเอกสารเพื่อกรอกใบคำขอต่าง ๆ กว่าจะได้ยื่นเอกสาร นั่งรอคิวยื่นเรื่อง รออบรมใบขับขี่ตามรอบการอบรม รอสอบข้อเขียนและสอบภาคปฏิบัติ ใช้เวลาแทบจะทั้งวัน ทำให้เสียเวลาอยู่ที่ขนส่งทั้งวัน แต่สมัยนี้การอบรมใบขับขี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและไม่จำเป็นต้องไปนั่งรอรับคิวที่ขนส่งแต่เช้าอีกต่อไป เพราะมีการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ ผ่านระบบ DLT e-Learning เป็นระบบการอบรมใบอนุญาตขับรถ โดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจัดทำขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ COVID -19 และเพิ่มความสะดวกในการต่อใบขับขี่ที่ไม่ต้องเดินทางมาขนส่งอีกด้วย ทั้งนี้ในการอบรมใบขับขี่ออนไลน์สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพขับรถยนต์สาธารณะ รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะให้สามารถเข้ารับการอบรมใบขับขี่ออนไลน์หลักสูตรการขอรับใบอนุญาตขับรถสาธารณะ อบรมใบขับขี่ออนไลน์รถสามล้อสาธารณะ อบรมใบขับขี่ออนไลน์รถจักรยานยนต์สาธารณะ รวมไปถึงการอบรมหลักสูตรการขอรับบัตรประจำตัวคนขับรถ ผ่านระบบ DLT e-learning ได้  โดยการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ผ่านระบบ DLT e-learning สามารถเชื่อมต่อผ่านคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนได้ โดยจะต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยนั่นเอง

สิ่งต้องเตรียมในการ อบรมใบขับขี่ออนไลน์ มีอะไรบ้าง

ก่อนที่คุณจะเริ่มการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ในการเข้าระบบ DLT e-learning สามารถอบรมใบขับขี่ออนไลน์ได้ทั้งสมาร์ทโฟน หรือ คอมพิวเตอร์ได้ทั้งคู่ แต่สำคัญคือต้องมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้คุณยังต้องเตรียมเอกสารเพื่อให้สำหรับกรอกข้อมูลลงในระบบดังนี้

1.เตรียมข้อมูลให้พร้อม ได้แก่ บัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และวันเดือนปีเกิด สำหรับลงทะเบียนในระบบ DLT e-learning

2.เตรียมเวลาให้ว่าง ในการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ แม้ว่าจะสามารถนั่งอบรมที่ไหนก็ได้ แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาในการอบรมไม่ต่างจากการไปอบรมที่ขนส่ง เพราะฉะนั้นคุณจำเป็นต้องหาเวลาที่ว่าง สะดวก และไม่มีธุระ เพื่อนั่งอบรมใบขับขี่ออนไลน์นี้ ประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ใบขับขี่แต่ละประเภทจะใช้เวลาในการอบรมใบขับขี่ออนไลน์แตกต่างกัน

การอบรมใบขับขี่ออนไลน์มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

หลังจากที่เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้ามาสู่ขั้นตอนการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ ซึ่งขั้นตอนนั้นไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน โดยมีวิธีการเข้าอบรมใบขับขี่ออนไลน์ดังนี้

1.เริ่มต้นต่อใบขับขี่ออนไลน์ ให้เข้าไปที่เว็บไซต์  https://www.dlt-elearning.com/Home

2.กดปุ่ม “ลงทะเบียน” สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทะเบียนเข้าใช้งาน

3.กรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน ประกอบไปด้วยเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด

4.เลือกการอบรมตามใบอนุญาตขับรถที่ต้องการต่ออายุ ประกอบไปด้วย ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์สามล้อ) ระยะเวลาการอบรม 1 ชั่วโมง ใบอนุญาตขับรถขนส่ง ระยะเวลาอบรม 2 ชั่วโมง และใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะ) ระยะเวลาอบรม 3 ชั่วโมง

4.เลือกข้อ1.แบบทดสอบก่อนอบรม

5.ทำแบบทดสอบก่อนอบรม 

6.ดูวิดีโออบรมใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล

7.ทำแบบทดสอบหลังอบรม เมื่อเรียบร้อยแล้วให้กดส่งข้อสอบ

8.เมื่อผ่านการอบรมแล้ว ให้บันทึกหน้าจอผลการอบรมเก็บไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขอต่อใบอนุญาตที่กรมการขนส่งต่อไป โดยผลการอบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์จะมีอายุ 90 วัน นับจากวันที่ผ่านการอบรม

จองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์

หลังจากที่ได้ทำการอบรมออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ก็มาที่ขั้นตอนการจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ เพื่อจองเวลาที่จะเข้าไปทำเรื่องที่ขนส่งต่อ ซึ่งสามารถจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งสามารถโหลดได้ทั้ง iOS และ Android เพื่อจองคิวทำใบขับขี่ โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อทำการจองคิวต่อใบขับขี่

2.เมื่อเข้าแอปพลิเคชันแล้ว ให้เลือกสำนักงานขนส่งที่เราต้องการเข้าไปต่อใบขับขี่

3.เลือกหัวข้อ “งานใบอนุญาต” และเลือกการต่ออายุรถตามประเภทของรถ

4.เลือกวันที่เราสะดวกจะเข้าไปที่ขนส่ง ซึ่งมีให้เลือกหลายรอบทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย หลังจากที่เลือกได้แล้ว ให้ทำการยืนยันการจอง และบันทึกหน้าจอเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เจ้าหน้าที่ในวันที่เราไปขนส่ง

5.เมื่อถึงวันที่เราทำการจองไว้ เตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อนำไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ และจะต้องทำการทดสอบสายตา ระบุสีจราจร ทดสอบการเหยียบคันเร่งและเบรก ตามปกติ

6.รอถ่ายรูปติดบัตรและชำระค่าธรรมเนียมเป็นอันเสร็จ

**สำหรับผู้ที่สามารถต่อใบขับขี่ออนไลน์ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีใบขับขี่อยู่แล้ว ผู้ที่มีใบขับขี่แต่หมดอายุไปแล้วไม่เกิน 1 ปี รวมไปถึงผู้ที่ต้องการต่อใบขับขี่ล่วงหน้า ซึ่งสามารถทำได้ไม่เกิน 90 วัน**

ใบขับขี่ที่สามารถจองคิวออนไลน์ได้

ใบขับขี่ส่วนบุคคลแบบ 5 ปีเป็น 5 ปี (ต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน) อบรม 1 ชั่วโมง

ใบขับขี่ พรบ.ขนส่ง (ต่อล่วงหน้าได้ 6 เดือน) อบรม 2 ชั่วโมง

ใบขับขี่สาธารณะ (ต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน) อบรม 3 ชั่วโมง

*ผลการอบรมการต่ออายุใบอนุญาตขับรถมีอายุ 90 วันนับจากวันที่ผ่านการอบรมเท่านั้น

หลังจากผ่านการอบรมและจองคิวผ่านแอปแล้ว ต้องทำอย่างไร

หลังจากที่ได้มีการอบรมใบขับขี่ออนไลน์ผ่านระบบ DLT e Learning และ จองคิวออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อเลือกวันที่จะสวกที่จะเข้ามาทำใบขับขี่รถที่ขนส่งแล้ว เราจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้

1.ภาพบันทึกหน้าจอวันและเวลาที่ทำการจองคิวเข้ามา

2.ใบขับขี่ปัจจุบัน

3.บัตรประจำตัวประชาชน

4.ใบรับรองแพทย์

เมื่อเตรียมเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ให้มาที่ขนส่งตามวันและเวลาที่นัดหมาย เพื่อเตรียมยื่นเอกสารและใบคำขอโดยที่ไม่ต้องเสียเวลานั่งฟังอบรมแล้ว เพราะเราได้อบรมใบขับขี่ออนไลน์มาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นก็เข้าคิวรับการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย ได้แก่ การทดสอบทางสายตา การทดสอบการมองเห็น และการทดสอบปฏิกิริยาเท้า  และเมื่อทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายแล้ว ก็รอถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยมีคลิปวิดีโอแนะนำการทดสอบสมรรถภาพร่างกายจากกรมการขนส่งดังนี้ค่ะ

ใบขับขี่มีกี่ประเภท  

ใบขับขี่ หรือ ใบอนุญาตขับขี่ เป็นเอกสารที่กรมการขนส่งทางบกเป็นใบอนุญาตให้ผู้ขับขี่รถสามารถขับขี่รถได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งใบขับขี่ไม่ได้มีเพียงแค่ ใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ หรือใบขับขี่รถยนต์เท่านั้น หากผู้ขับขี่ไม่พกใบขับขี่ กฎหมายมีการกำหนดบทลงโทษกรณีไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ ได้แก่ หากขับรถโดยไม่มีใบขับขี่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้กำหนดไว้ตามมาตรา 64 ความว่า ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในกรณีรถยนต์สาธารณะหากผู้ประกอบการยินยอมให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ จะมีความผิดตามมาตรา 56 ประกอบมาตรา 60 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ส่วนพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ได้กำหนดโทษไว้ตามมาตรา 151 ความว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 93 วรรคหนึ่งที่ว่าด้วย ห้ามมิให้ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถหรือผู้ที่มีหน้าที่ขับรถ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน หากผู้นั้นฝ่าฝืนปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้เราจึงควรพกใบขับขี่ติดตัวไว้ขณะขับรถอยู่เสมอ คุณรู้หรือไม่ว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท สำหรับใบขับขี่มีกี่ประเภท  คำตอบคือ 4 ประเภท ได้แก่ ใบขับขี่ประเภท 1, ใบขับขี่ประเภท 2, ใบขับขี่ประเภท 3 และใบขับขี่ประเภท 4 โดยสิ่งที่กำหนดว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท แบ่งตามลักษณะรถ น้ำหนักรถและการใช้งานรถ โดยใบขับขี่มีกี่ประเภท สามารถจำแนกได้ดังนี้

ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 1

ใบขับขี่ประเภท 1 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่น้ำหนักรถและน้ำหนักรถบรรทุกรวมกันไม่เกิน 3,500 กิโลกรัมที่ไม่ได้ใช้ขนส่งผู้โดยสาร หรือสำหรับรถขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 20 คน ได้แก่ ใบขับขี่ บ.1 และใบขับขี่ ท.1 ใช้ขับรถแท็กซี่ หรือรถตู้ มีอายุการใช้งาน 3 ปี ผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี  และต้องสอบขับรถตามชนิดใบอนุญาต

ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 2

ใบขับขี่ประเภท 2 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่มีน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่า 3,500 กิโลกรัม ที่ไม่ได้ใช้ขนส่งผู้โดยสาร หรือสำหรับรถขนส่งผู้โดยสารเกินกว่า 20 คน ได้แก่ ใบขับขี่ บ.2 และใบขับขี่ ท.2 ใช้ขับรถเมล์, รถบัส, รถบรรทุกสินค้า หรือรถ 6 ล้อ มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี และต้องสอบขับรถตามชนิดใบอนุญาต

ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 3

ใบขับขี่ประเภท 3 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับลากจูงรถอื่นหรือล้อเลื่อนที่บรรทุก ได้แก่ ใบขับขี่ บ.3 และใบขับขี่ ท.3 ใช้ขับรถพ่วง, รถ 10 ล้อ หรือรถ 6 ล้อ มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี ต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยตามที่กำหนด และต้องสอบขับรถลากจูง พร้อมรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง

ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 4

ใบขับขี่ประเภท 4 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตรายตามประเภทหรือชนิดและลักษณะการบรรทุกตามที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้แก่ ใบขับขี่ บ.4 และใบขับขี่ ท.4 ใช้ขับรถขนส่งเคมี, รถบรรทุกเชื้อเพลิง มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี ต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยตามที่กำหนด และต้องสอบขับรถลากจูง พร้อมรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง

ชนิดของใบขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

นอกจากประเภทใบขับขี่รถที่แบ่งตามลักษณะรถ น้ำหนักรถและการใช้งานรถแล้ว ในส่วนของชนิดของของใบขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ แบ่งได้ 11 ชนิด ตามชนิดของรถและการใช้งานทั้งแบบบุคคล และสาธารณะ ดังต่อไปนี้

ใบอนุญาตขับขี่รถชนิดชั่วคราว

ใบขับขี่รถชนิดชั่วคราว ถือเป็นใบขับขี่ใบแรกที่ผู้ขับขี่เริ่มต้นจะได้รับหลังจากที่สอบใบขับขี่ผ่านแล้ว ไม่ว่าคุณจะสอบใบขับขี่ประเภทไหนก็จะได้ใบขับขี่รถชนิดชั่วคราวนี้ก่อน ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ประเภท ได้แก่

ใบขับขี่รถยนต์ชั่วคราว

ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท

ใบขับขี่ขับรถยนต์สามล้อชั่วคราว

ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท

ใบขับขี่ขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว

ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท

ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล

ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลจะได้หลังจากที่ใช้งานใบขับขี่ชั่วคราวมาครบตามอายุใช้งาน โดยจะมีอายุการใช้งานใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี  ค่าธรรมเนียม 500 บาท

ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล

ใบขับขี่รถสามล้อส่วนบุคคล คือ ใบขับขี่สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนใบขับขี่รถยนต์สามล้อจากชนิดชั่วคราว เป็นชนิด 5 ปี หรือต่ออายุใบขับขี่รถสามล้อส่วนบุคคลที่มีอายุใช้งาน 5 ปี ค่าธรรมเนียม 250 บาท

ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล

ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ คือ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ที่เปลี่ยนใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชนิดชั่วคราว เป็นชนิด 5 ปี หรือใบอนุญาตสำหรับผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีอายุการใช้งาน 5 ปี และมีค่าธรรมเนียม 250 บาท

ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ

ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ คือ ใบขับขี่สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ โดยต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบขับขี่ชั่วคราวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีขึ้นไป มีอายุการใช้งาน 3 ปี และมีค่าธรรมเนียม 300 บาท

ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ

ใบขับขี่รถสามล้อสาธารณะ หรือรถตุ๊กตุ๊กที่เราเห็นกันคุ้นตา คือ ใบขับขี่รถตุ๊กตุ๊กสำหรับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือแบบตลอดชีพ และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์ มีอายุการใช้งาน 3 ปี และมีค่าธรรมเนียม 150 บาท

ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ

ใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ คือ ใบขับขี่สำหรับวินมอเตอร์ไซค์  ไรเดอร์ขับรถส่งอาหารหรือส่งของตามแอปพลิเคชันที่เราคุ้นเคย  อายุผู้ขอใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 20 ปี และต้องได้รับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราวมาไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว

ใบอนุญาตขับรถบดถนน

ผู้ที่ยื่นขอใบขับขี่รถบดถนน ผู้ขอใบขับขี่ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และต้องผ่านการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยใบขับขี่รถบดถนนมีอายุใช้งาน 5 ปี และมีค่าธรรมเนียม 250 บาท

ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์

ใบขับขี่รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร มีอายุใช้งาน 5 ปี มีค่าธรรมเนียม 250 บาท และผู้ขอใบขับขี่รถแทรกเตอร์ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นๆ

ใบอนุญาตขับรถประเภทอื่น คือ ใบอนุญาตสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้นมีอายุใช้งาน 5 ปี มีค่าธรรมเนียม 100 บาท และผู้ขอใบขับรถชนิดอื่นๆ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์

ใบขับขี่ระหว่างประเทศหรือใบขับขี่สากล คือ ใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีไม่จำกัดอายุผู้ขอทำใบขับขี่สากล แต่ผู้ขอจะต้องใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชนิด 5 ปี หรือตลอดชีพแล้วเท่านั้น

การอบรมใบขับขี่ออนไลน์  ช่วยให้การทำใบขับขี่มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะผู้ทำใบขับขี่ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งอบรมใบขับขี่รถที่ขนส่งเหมือนสมัยก่อน  เราสามารถเข้าระบบ DLT e Learning เพื่อทำการลงทะเบียนอบรมใบขับขี่ออนไลน์ แต่ทั้งนี้เมื่อผ่านการอบรมใบขับขี่ออนไลน์แล้ว เราจำเป็นจะต้องจองคิวออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อทำการจองวันและเวลาในการเข้ามายื่นเอกสารและยื่นใบคำขอ เพื่อทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย และพิมพ์รูปทำใบขับขี่ต่อไป สำหรับการจองคิวแนะนำว่าควรจองคิวล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะหากคุณทำการจองวันและเวลาที่ใกล้เวลาที่เราอยากไปทำเรื่อง อาจจะคิวเต็ม ไม่สามารถจองได้ตามที่ต้องการ และที่สำคัญคือจะต้องเตรียมเอกสารทั้งหมดให้พร้อม เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางไปและหากผู้ที่ต้องการต่อใบขับขี่ล่วงหน้าก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในการขับขี่ใบขับขี่ที่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาแล้ว การพกความมั่นใจในการเดินทางด้วยการทำประกันรถยนต์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำไว้ อย่างน้อยหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน บริษัทประกันจะเข้ามาดูแลหลังจากนี้เองค่ะ สนใจทำประกันรถยนต์แนะนำเฮงลิสซิ่ง มีให้เลือกหลากหลายแผนประกันตามความเหมาะสมของคุณ คลิกที่นี่