เนื้อหาของบทความ
หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุแล้ว เจ้าของรถจะมีการโทรเรียกบริษัทประกันรถยนต์ เพื่อให้เข้ามาช่วยจัดการเจรจากับคู่กรณีและทำเรื่อง เคลมประกัน ต่อไป โดยการเคลมประกันรถนั้น จะแบ่งประเภทการเคลมประกันไว้ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะต่างกันอย่างไร เรามาทำความเข้าใจไปพร้อมกันค่ะ
การ เคลมประกัน คืออะไร
เรามาทำความรู้จักกับการ เคลมประกัน ให้มากขึ้นกันค่ะ การทำประกันรถยนต์ เหมือนเป็นการสร้างความคุ้มครองเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้รถ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน แน่นอนว่าย่อมจะมีความเสียหายทางทรัพย์สินหรือร่างกายเลย นอกจากนี้ยังเกิดค่าใช้จ่ายที่จะตามมาจากความเสียหายนั้น ๆ ด้วย ซึ่งการโทรเรียกบริษัทประกันให้เข้ามาจัดการ เจรจาและรับผิดชอบในส่วนของค่าเสียหาย รวมไปถึงการเคลมประกันมักจะทำหลังจากที่มีการเกิดอุบัติเหตุแล้ว เบื้องต้นเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน สิ่งสำคัญที่เจ้าของรถจะต้องทำ คือ การมีสติ และจดจำ รวบรวมรายละเอียด หลักฐานความเสียหาย สถานที่เกิดเหตุ เพื่อแจ้งให้บริษัทประกันทราบก่อน โดยการเคลมประกันรถจะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ การเคลมประกันรถยนต์แบบสด คือ การเคลมประกันรถยนต์ ณ ที่เกิดเหตุและมีพนักงานบริษัทประกันมาตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ
ส่วนการเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง คือ การเคลมหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเราจะได้อธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป หลังจากที่มีการทำเรื่องเคลมประกันรถแล้ว บริษัทประกันจะออกใบประเมินความเสียหาย เพื่อให้ผู้เอาประกันนำรถไปเคลมกับอู่ซ่อมรถในเครือบริษัทโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด แต่ในระหว่างที่รถรอซ่อมอยู่นั้น ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ เงินค่าชดเชยที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ของฝ่ายที่ผิด ต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกจากการเสียประโยชน์ที่ไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันภัยภาคสมัครใจของคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด ต้องเข้ามารับผิดชอบแทนผู้ขับขี่นั่นเอง โดยเราจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในหัวข้อถัดไปค่ะ
ประเภทของการเคลมประกัน รถยนต์มีอะไรบ้าง?
ในการเคลมประกันรถยนต์จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ เคลมประกันรถยนต์แบบสด จะมีพนักงานจากบริษัทประกันออกไปตรวจสอบทันที และเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง การเคลมหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่งแล้ว (ไม่เกิน 2-3 วัน) สาเหตุการเคลมมักจะเกิดจากกรณีที่เกิดการเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุที่เกิดความเสียหายไม่มากนัก
การเคลมประกันรถยนต์แบบสด
การเคลมประกันรถยนต์แบบสด คือการเคลม ณ ที่เกิดเหตุ และมีพนักงานบริษัทประกันมาตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้
1.การเคลมแบบมีคู่กรณี คือ อุบัติเหตุแบบรถชนรถ พนักงานบริษัทประกันจะตรวจสอบและพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด โดยฝ่ายผิดจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ให้กับคู่กรณีก่อน ตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน*
2.การเคลมแบบไม่มีคู่กรณี คือ กรณีที่ผู้เอาประกันชนสิ่งของทำให้เกิดความเสียหาย กรณีนี้ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) ก่อน
การเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง
การเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง คือ การเคลมหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่งแล้ว (ไม่เกิน 2-3 วัน) สาเหตุการเคลมมักจะเกิดจากกรณีที่เกิดการเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุที่เกิดความเสียหายไม่มากนัก โดยผู้ถือประกันต้องระบุรายละเอียดว่าเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร วันที่เท่าไหร่ สถานที่ไหน ชนเข้ากับอะไร แล้วจึงแจ้งเคลมกับบริษัทประกันเอง
**มีเพียงประกันชั้น 1 เท่านั้น ที่สามารถ “เคลมรอบคัน” เป็นการเก็บรายละเอียดร่องรอยต่างๆ รอบตัวรถให้กับคุณได้
เบี้ยประกันลดลง สำหรับผู้ที่ไม่เคยเคลมประกันรถใช่หรือไม่?
รถไม่เคยมีการเคลมประกันเลยในช่วงประกันปีแรก เบี้ยประกันในปีต่อไปจะลดลง หรือหากคุณเปลี่ยนบริษัทประกันภัยใหม่ และไม่มีการเคลมประกันเลย ก็สามารถนำไปลดเบี้ยประกันกับทางบริษัทประกันใหม่ได้เช่นเดียวกัน
หลังจากเคลมประกันรถแล้ว ส่งรถไปซ่อมที่ไหนได้บ้าง?
ผู้เอาประกันสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกส่งรถไปซ่อมที่ศูนย์บริการหรือซ่อมกับอู่ซ่อมรถในเครือก็ได้ แต่รถที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี แนะนำว่าให้ซ่อมกับศูนย์บริการจะดีกว่า
ต้องการทำประกันรถยนต์ ทำที่ไหนได้บ้าง?
หลังจากที่คุณทราบแล้วว่าประกันรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง และต้องการที่จะทำประกันรถยนต์สักแผนหนึ่ง สามารถทำซื้อกับตัวแทนประกันภัยรถยนต์ของบริษัทที่คุณสนใจโดยเฉพาะ หรือ ติดต่อนายหน้าหรือโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ได้เช่นเดียวกัน เพราะสามารถเลือกแผนประกันได้หลากหลายบริษัท ทำให้คุณสามารถเลือกพิจารณาเปรียบเทียบ เงื่อนไข เบี้ยประกัน และความคุ้มครองอื่น ๆ ได้
ทำประกันรถยนต์แบบสบายกระเป๋าที่เฮงลิสซิ่ง
แม้ว่าราคาของประกันรถยนต์แต่ละแผนจะต้องจ่ายจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อแลกกับความคุ้มครองในการขับขี่รถได้อย่างสบายใจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าไม่น้อยเลย แต่จะดีกว่าถ้าได้เลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนในคราวเดียว สามารถเลือกแบ่งจ่ายได้นานถึง 12 งวด ไม่มีดอกเบี้ย ยิ่งคนที่ไม่มีบัตรเครดิตก็สามารถผ่อนจ่ายได้เช่นเดียวกัน แนะนำซื้อประกันรถยนต์ผ่อน 0% ที่เฮงลิสซิ่งทุกสาขาใกล้บ้าน หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่ (ไปที่หน้าขายประกัน)
ค่าขาดประโยชน์จาการใช้รถคืออะไร
เมื่อตอนต้นเราได้พูดถึงค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ว่าเป็นสิทธิที่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ของฝ่ายที่ผิด ต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกจากการเสียประโยชน์ที่ไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อม ซึ่งหากทำเฉพาะประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งเป็นเพียงประกันภัยที่คุ้มครองคน ไม่คุ้มครองทรัพย์สิน จะไม่สามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถขั้นต่ำ เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยจ่ายในจำนวนที่ต่ำเกินไป ดังนี้
อัตราขั้นต่ำค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
1.รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
2.รถยนต์รับจ้างสาธารณะขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
3.รถยนต์ขนาดเกินกว่า 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
4.รถประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อ 1-3 เช่น “รถจักรยานยนต์” ให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องและตกลงกันได้ โดยพิจารณาหลักฐานเป็นกรณีไป
เอกสารประกอบการเรียกร้องค่าเสียหาย
1.ใบรับรถ หรือ ใบนำรถยนต์เข้าซ่อม
2.สำเนารายการจดทะเบียนรถยนต์
3.หลักฐานเอกสารประกอบการใช้รถยนต์ในแต่ละวัน (ถ้ามี)
4.ใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างที่ไม่มีรถใช้ เช่น ค่าเช่ารถ ค่าตั๋วรถไฟฟ้า ค่านั่งรถรับจ้างต่าง ๆ เป็นต้น
5.สำเนาบัตรประชาชน
6.ใบเคลม
7.หนังสือเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม
ขั้นตอนการขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
1.ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี(ฝ่ายผิด) จากนั้นให้ยืนยันคำเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ในระยะเวลาที่รถของคุณกำลังซ่อมอยู่
2.เมื่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี แจ้งขอให้คุณนำส่งเอกสารต่าง ๆ คุณก็ดำเนินการส่งเอกสารไปยังบริษัทของเขาตามที่แจ้ง เพื่อดำเนินการตรวจสอบ
3.รอเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยของคู่กรณีติดต่อกลับ อาจจะมีการต่อรองในเรื่องค่าขาดประโยชน์ของคุณ
4.หลังจากที่มีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็รอรับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถภายใน 7 วัน
เทคนิคเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้คุ้มค่า
1.พฤติกรรมกรรมการใช้รถ
พฤติกรรมการใช้รถ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกซื้อประกันรถยนต์ บางคนเป็นมือใหม่หัดขับ บางคนขับรถมานาน ก็อาจจะเลือกทำประกันรถยนต์ที่แตกต่างกัน มือใหม่หัดขับ อาจจะมีความเสี่ยงในการขับขี่ค่อนข้างสูง อาจจะขับรถเฉี่ยวชนสิ่งของ เกิดรอยขีดข่วนบ้าง ถอยรถชนเสาบ้าง หรืออาจจะบังเอิญไปเฉี่ยวชนเพื่อนร่วมทางคันอื่น การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับมือใหม่หัดขับที่ใช้รถปีใหม่ อายุไม่เกิน 7 ปี ก็จะช่วยคุ้มครองในเรื่องความเสียหายของรถ และคุ้มครองคนอีกด้วย หรือหากเป็นมือใหม่หัดขับแต่ใช้รถอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป อาจจะแนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อคุ้มครองได้ใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นอกจากนี้ความถี่ในการใช้รถ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ บางคนใช้รถเป็นประจำทุกวัน การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ขึ้นไปก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากบางคนไม่ค่อยได้ใช้รถสักเท่าไหร่ ขับแค่ใกล้ ๆ บ้าน หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด อาจจะเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 3 แทน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อประกันรถยนต์เช่นกัน
2.อายุของรถที่ใช้
เราจะเห็นว่าในการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถใหม่ป้ายแดง หรือรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี หากคุณเป็นรถเก่าที่มีอายุเกิน 7 ปี แต่รถก็ยังไม่เก่ามากนัก แต่ก็อยากได้รับความคุ้มครองที่ไม่ต่างจากประกันชั้น 1 จึงแนะนำให้ทำประกันรถยนต์ 2+ แทน จะเห็นว่าอายุของรถมีผลต่อการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แม้ว่าจะเป็นรถปีเก่าก็ยังสามารถเลือกซื้อประกันรถยนต์ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองในการใช้รถใช้ถนน แม้ว่าอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองเท่ากับรถใหม่หรือการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็ตาม แต่อย่างน้อยการเลือกซื้อประกันรถยนต์ติดไว้สักแผน ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเพิ่มความคุ้มครองที่นอกเหนือไปจากการทำพ.ร.บ.เพียงอย่างเดียว
3.เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเราจะซื้อสินค้าหรือจะใช้บริการอะไรก็ตาม เรามักจะมีการค้นหารีวิวคนที่เคยทำใช้บริการบริษัทประกันแต่ละแห่งในอินเตอร์เน็ต หรือสอบถามคนข้างเคียง เพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับประสบการณ์การซื้อหรือเคลมประกัน แต่ทางที่ดีเลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทที่คุ้นหู น่าเชื่อถือ เพราะการเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้คุณได้รับการบริการที่เป็นมาตรฐาน ถูกกฎหมาย นอกจากนี้การเลือกบริษัทประกันที่มีอู่ซ่อมรถครอบคลุมหลายแห่งที่ได้รับมาตรฐาน รวมไปถึงอู่ซ่อมรถประจำของคุณเองอยู่ในเครือของบริษัทประกันรถที่คุณด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้คุณลดความกังวลในการนำรถไปส่งซ่อม และได้รับมาตรฐานในการซ่อมอีกด้วย
4.เบี้ยประกันรถยนต์
การเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์และข้อเสนอของแต่ละแห่ง ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้ง่ายขึ้น เลือกที่ให้ความคุ้มค่าว่าที่ไหนให้ความคุ้มครองมากกว่า เบี้ยประกันถูกกว่ากัน รวมไปถึงรูปแบบในการซื้อประกันรถยนต์ว่าสามารถแบ่งจ่ายได้หรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเบี้ยประกันรถยนต์แต่ละชั้น มีราคาค่อนข้างสูงในสายตาของหลายคน เพราะฉะนั้นหากสามารถเลือกทำประกันรถยนต์ผ่อนชำระ 0% ได้นาน 6 เดือน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การซื้อประกันรถยนต์ของคุณ ซื้อง่ายสบายกระเป๋ามากยิ่งขึ้น
บทความนี้พอจะทำให้คุณเห็นภาพของการเคลมประกันรถยนต์กับบริษัทประกันรถยนต์ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนน คุณสามารถโทรเรียกประกันได้แต่ก่อนอื่น คุณควรจะตั้งสติและจดจำรายละเอียด เก็บหลักฐานเอกสารให้พร้อม เพื่อแจ้งบริษัทและส่งเคลมประกันรถยนต์ต่อไป หากคุณเป็นผู้เสียหายและเป็นฝ่ายถูกยังสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ของฝ่ายที่ผิด จะต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกจากการเสียประโยชน์ที่ไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อม ทั้งนี้การทำประกันรถยนต์ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถ หากเกิดอุบัติเหตุคาดฝันอย่างน้อยก็มีบริษัทประกันคอยช่วยเหลือคุณในยามคับขันนี้ด้วย สนใจเลือกทำประกันรถยนต์แนะนำซื้อประกันรถยนต์ที่เฮงลิสซิ่ง ซื้อง่ายไม่ต้องจ่ายเงินก้อนรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก