เนื้อหาของบทความ
ผู้ขับขี่รถทุกคนจะต้องพกใบขับขี่ติดตัวไปด้วยเสมอ แต่เมื่อไหร่ที่คุณทำ ใบขับขี่หาย จะต้องไปทำเรื่องขอใบขับขี่ใหม่โดยด่วน เพราะหากมีเจ้าหน้าที่เรียกตรวจแต่ไม่มีใบขับขี่ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะมีโทษปรับต่าง ๆ ตามมาและมีผลต่อการเคลมประกันต่อไป ทั้งนี้หากใบขับขี่หายต้องทำอย่างไร เรามีคำแนะนำมาฝาก
ใบขับขี่หาย ต้องทำอย่างไร
ใบขับขี่ หรือ ใบอนุญาตขับขี่ เป็นเอกสารที่กรมการขนส่งทางบกเป็นใบอนุญาตให้ผู้ขับขี่รถสามารถขับขี่รถได้อย่างถูกกฎหมาย หากผู้ขับขี่ไม่พกใบขับขี่ หรือใบขับขี่หายไม่สามารถนำมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ได้ กฎหมายมีการกำหนดบทลงโทษกรณีไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ ได้แก่ หากขับรถโดยไม่มีใบขับขี่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้กำหนดไว้ตามมาตรา 64 ความว่า ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้หากใบขับขี่หาย หากเป็นรถส่วนบุคคลไม่ต้องแจ้งความ แต่เมื่อรู้ตัวว่าใบขับขี่หายจะต้องมีรีบดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่แทนใบขับขี่หาย โดยใบขับขี่หาย สามารถยื่นเรื่องขอใบขับขี่ใหม่ ดังนี้
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
- เข้าสู่ระบบโดยใช้บัตรประชาชน
- กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบถ้วนและสร้างรหัสผ่านสำหรับเข้าสู่ระบบ
- เลือกสำนักงานขนส่งที่ต้องการจองคิวทำใบขับขี่
- เลือกประเภทงานบริการเป็น งานใบอนุญาต
- เลือกประเภทบริการที่ต้องการ เช่น ต่อใบขับขี่ 2 ปีเป็น 5 ปี หรือต่อใบขับขี่ 5 ปีเป็น 5 ปี เป็นต้น
- เลือกวันและเวลาที่ต้องการจองคิว จากนั้นยืนยันการจอง
- แคปภาพหน้าจอไว้เป็นหลักฐานแสดงแก่เจ้าหน้าที่ที่กรมขนส่งในวันนัดหมาย
เอกสารที่ต้องเตรียมในวันนัดหมาย
1.บัตรประชาชนฉบับจริง
2.ใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 1 เดือน ประทับตราสถานพยาบาลชัดเจน
3.หลักฐานการจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน
ขั้นตอนการทำใบขับขี่ใหม่กับกรมการขนส่ง
1.ยื่นเอกสารและหลักฐานการจองคิวผ่านแอป
2.เขียนใบคำร้องขอทำใบขับขี่ใหม่
3.ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
4.ชำระค่าธรรมเนียม
5.รอรับใบขับขี่ใหม่
ค่าใช้จ่ายในการขอทำใบขับขี่ใหม่ (กรณีสูญหาย)
ค่าธรรมเนียมคำขอ ฉบับละ 5 บาท
ค่าธรรมเนียมใบแทนกรณีสูญหายหรือชำรุด 100 บาท
ค่าบริการถ่ายรูปและพิมพ์ใบอนุญาตขับรถ 100 บาทรวมเป็น 205 บาท
ใบขับขี่มีกี่ประเภท
รู้หรือไม่ว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท สำหรับใบขับขี่มีกี่ประเภท คำตอบคือ 4 ประเภท ได้แก่ ใบขับขี่ประเภท 1, ใบขับขี่ประเภท 2, ใบขับขี่ประเภท 3 และใบขับขี่ประเภท 4 โดยสิ่งที่กำหนดว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท แบ่งตามลักษณะรถ น้ำหนักรถและการใช้งานรถ โดยใบขับขี่มีกี่ประเภท สามารถจำแนกได้ดังนี้
ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 1
ใบขับขี่ประเภท 1 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่น้ำหนักรถและน้ำหนักรถบรรทุกรวมกันไม่เกิน 3,500 กิโลกรัมที่ไม่ได้ใช้ขนส่งผู้โดยสาร หรือสำหรับรถขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 20 คน ได้แก่ ใบขับขี่ บ.1 และใบขับขี่ ท.1 ใช้ขับรถแท็กซี่ หรือรถตู้ มีอายุการใช้งาน 3 ปี ผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี และต้องสอบขับรถตามชนิดใบอนุญาต
ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 2
ใบขับขี่ประเภท 2 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่มีน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่า 3,500 กิโลกรัม ที่ไม่ได้ใช้ขนส่งผู้โดยสาร หรือสำหรับรถขนส่งผู้โดยสารเกินกว่า 20 คน ได้แก่ ใบขับขี่ บ.2 และใบขับขี่ ท.2 ใช้ขับรถเมล์, รถบัส, รถบรรทุกสินค้า หรือรถ 6 ล้อ มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี และต้องสอบขับรถตามชนิดใบอนุญาต
ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 3
ใบขับขี่ประเภท 3 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับลากจูงรถอื่นหรือล้อเลื่อนที่บรรทุก ได้แก่ ใบขับขี่ บ.3 และใบขับขี่ ท.3 ใช้ขับรถพ่วง, รถ 10 ล้อ หรือรถ 6 ล้อ มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี ต้องเข้ารับการอมรมหลักสูตรความปลอดภัยตามที่กำหนด และต้องสอบขับรถลากจูง พร้อมรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง
ใบขับขี่มีกี่ประเภท: ประเภท 4
ใบขับขี่ประเภท 4 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับรถที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตรายตามประเภทหรือชนิดและลักษณะการบรรทุกตามที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้แก่ ใบขับขี่ บ.4 และใบขับขี่ ท.4 ใช้ขับรถขนส่งเคมี, รถบรรทุกเชื้อเพลิง มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี ต้องเข้ารับการอมรมหลักสูตรความปลอดภัยตามที่กำหนด และต้องสอบขับรถลากจูง พร้อมรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง
ใบขับขี่ บ.1-บ.4 คืออะไร?
เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท ในหัวข้อนี่เราจะพูดถึง ใบขับขี่ บ.1-บ.4 ว่าคืออะไร แล้วใบขับขี่มีกี่ประเภท โดยใบขับขี่ บ.1-บ.4 เป็นใบอนุญาตขับขี่รถประเภททุกประเภท (ท.) ใช้ขับรถรับจ้างขนส่งสินค้าหรือบุคคล รถขนส่งสินค้าในธุรกิจขนส่ง หรือรถโดยสารสาธารณะที่มีแผ่นป้ายทะเบียนพื้นสีเหลือง เพื่อการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง หรือการขนส่งด้วยรถขนาดเล็ก ใช้แทนได้ทั้งใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถประเภทส่วนบุคคล และใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ โดยประเภทของใบขับขี่ บ.1-บ.4 คืออะไรมีดังนี้
ใบขับขี่ ท.1
ใบขับขี่ ท.1 หรือใบอนุญาตขับขี่ประเภททุกประเภท (ท.) ชนิดที่ 1 คือ ใบขับขี่สำหรับใช้ขับรถบรรทุกขนส่งทั้งแบบประจำทาง ไม่ประจำทาง หรือขนส่งโดยรถขนาดเล็กที่มีน้ำหนักรถรวมกันไม่เกิน 3,500 กิโลกรัม หรือรถขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 20 คน
ใบขับขี่ ท.2
ใบขับขี่ ท.2 หรือใบอนุญาตขับขี่ ประเภททุกประเภท ชนิดที่ 2 คือ ใบขับขี่สำหรับขับรถขนส่งโดยรถขนาดเล็กทั้งแบบประจำทาง และไม่ประจำทางสำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 3,500 กิโลกรัม หรือรถขนส่งผู้โดยสารเกินกว่า 20 คน
ใบขับขี่ ท.3
ใบขับขี่ ท.3 หรือใบอนุญาตขับขี่ ประเภททุกประเภท ชนิดที่ 3 คือ ใบขับขี่สำหรับขับรถลากจูงรถอื่นหรือลากล้อเลื่อนที่บรรทุกสิ่งของ
ใบขับขี่ ท.4
ใบขับขี่ ท.4 หรือใบอนุญาตขับขี่ ประเภททุกประเภท ชนิดที่ 4 คือ ใบขับขี่สำหรับขับรถขนส่งโดยรถขนาดเล็กทั้งแบบประจำทาง และไม่ประจำทางที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตรายตามประเภทหรือชนิด และลักษณะการบรรทุกที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นอกจากใบขับขี่มีกี่ประเภทแล้ว นอกจากนี้ใบขับขี่รถยนต์ยังแบ่งแยกออกเป็นชนิดของรถยนต์ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ แบ่งได้ 11 ชนิด ตามชนิดของรถและการใช้งานทั้งแบบบุคคล และสาธารณะ ดังต่อไปนี้
ใบอนุญาตขับขี่รถชนิดชั่วคราว
ใบขับขี่รถชนิดชั่วคราว ถือเป็นใบขับขี่ใบแรกที่ผู้ขับขี่เริ่มต้นจะได้รับหลังจากที่สอบใบขับขี่ผ่านแล้ว ไม่ว่าคุณจะสอบใบขับขี่ประเภทไหนก็จะได้ใบขับขี่รถชนิดชั่วคราวนี้ก่อน ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ประเภท ได้แก่
ใบขับขี่รถยนต์ชั่วคราว
ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท
ใบขับขี่ขับรถยนต์สามล้อชั่วคราว
ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท
ใบขับขี่ขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
ผู้ทำต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี มีอายุการใช้งาน 1 ปี และมีค่าธรรมเนียม 100 บาท
ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล
ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลจะได้หลังจากที่ใช้งานใบขับขี่ชั่วคราวมาครบตามอายุใช้งาน โดยจะมีอายุการใช้งานใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี ค่าธรรมเนียม 500 บาท
ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
ใบขับขี่รถสามล้อส่วนบุคคล คือ ใบขับขี่สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนใบขับขี่รถยนต์สามล้อจากชนิดชั่วคราว เป็นชนิด 5 ปี หรือต่ออายุใบขับขี่รถสามล้อส่วนบุคคลที่มีอายุใช้งาน 5 ปี ค่าธรรมเนียม 250 บาท
ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ คือ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ที่เปลี่ยนใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชนิดชั่วคราว เป็นชนิด 5 ปี หรือใบอนุญาตสำหรับผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีอายุการใช้งาน 5 ปี และมีค่าธรรมเนียม 250 บาท
ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
ใบขับรถยนต์สาธารณะ คือ ใบขับขี่สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ โดยต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบขับขี่ชั่วคราวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีขึ้นไป มีอายุการใช้งาน 3 ปี และมีค่าธรรมเนียม 300 บาท
ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ
ใบขับขี่รถสามล้อสาธารณะ หรือรถตุ๊กตุ๊กที่เราเห็นกันคุ้นตา คือ ใบขับขี่รถตุ๊กตุ๊กสำหรับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือแบบตลอดชีพ และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์ มีอายุการใช้งาน 3 ปี และมีค่าธรรมเนียม 150 บาท
ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ
ใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ คือ ใบขับขี่สำหรับวินมอเตอร์ไซค์ ไรเดอร์ขับรถส่งอาหารหรือส่งของตามแอปพลิเคชันที่เราคุ้นเคย อายุผู้ขอใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 20 ปี และต้องได้รับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราวมาไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว
ใบอนุญาตขับรถบดถนน
ผู้ที่ยื่นขอใบขับขี่รถบดถนน ผู้ขอใบขับขี่ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และต้องผ่านการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยใบขับขี่รถบดถนนมีอายุใช้งาน 5 ปี และมีค่าธรรมเนียม 250 บาท
ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์
ใบขับขี่รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร มีอายุใช้งาน 5 ปี มีค่าธรรมเนียม 250 บาท และผู้ขอใบขับรถแทรกเตอร์ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นๆ
ใบอนุญาตขับรถประเภทอื่น คือ ใบอนุญาตสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้นมีอายุใช้งาน 5 ปี มีค่าธรรมเนียม 100 บาท และผู้ขอใบขับรถชนิดอื่นๆ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์
ใบขับขี่ระหว่างประเทศหรือใบขับขี่สากล คือ ใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีไม่จำกัดอายุผู้ขอทำใบขับขี่สากล แต่ผู้ขอจะต้องใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชนิด 5 ปี หรือตลอดชีพแล้วเท่านั้น
การตัดแต้มใบขับขี่ 2566
การตัดแต้มใบขับขี่ หรือระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถของผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ 2565 ซึ่งเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา กรมการขนส่งทางบกร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เริ่มใช้ระบบการตัดแต้มใบขับขี่ 2566 หรือระบบตัดแต้มใบอนุญาตขับรถ 2566 เพื่อป้องปราบและลดการกระทำผิดซ้ำของผู้ขับขี่รถ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 142/1 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ม.ค. 2566 ซึ่งจะเป็นมาตรการเสริมในการสร้างวินัยการขับขี่เพิ่มเติมจากการออกใบสั่งเพื่อบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ภายใต้สโลแกน “มุ่งเน้นการสร้างวินัยการขับขี่ปลอดภัย ให้โอกาสแก้ไขไม่กระทำผิดซ้ำ สร้างความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และเป็นมาตรฐานสากล” โดยก่อนที่เราจะมาดูหลักเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่นั้น เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าในการตัดแต้มใบขับขี่ 2566 ผู้ที่มีใบขับขี่ทุกคนจะมีคะแนนความประพฤติคนละ 12 คะแนนเต็ม หากมีการกระทำผิดก็จะถูกตัดแต้มใบขับขี่ตามกลุ่มความผิดที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับการตัดแต้มใบขับขี่ ใน 20 ฐานความผิดที่เป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุ จะถูกตัดแต้มใบขับขี่เมื่อทำผิดทันที โดยการตัดแต้มใบขับขี่จะดำเนินการโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ระบบฐานข้อมูลใบสั่ง PTM ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการบันทึกการทำผิดกฎจราจรและตัดแต้มใบขับขี่ในแต่ละครั้ง
หมายเหตุ : Police Ticket Management หรือ PTM คือระบบจัดการใบสั่งออนไลน์ คลิก ผู้ขับขี่สามารถเข้าไปตรวจสอบใบสั่งจราจรได้ และยังสามารถจ่ายค่าปรับจราจรได้ที่ แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT แอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือชำระที่สถานีตำรวจ, ธนาคารกรุงไทย, สาขาของไปรษณีย์ไทย, ตู้ ATM ธนาคารกรุงไทยหรือตู้บุญเติม แล้วหากไม่จ่ายค่าปรับจราจรยังมีผลต่อการต่อภาษีรถ อ่านเพิ่มเติม คลิก
เกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 2566
ผู้ที่มีใบขับขี่ทุกคนจะมีคะแนนความประพฤติคนละ 12 คะแนนเต็ม จะถูกตัดแต้มใบขับขี่เมื่อทำผิดทันที โดยเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 2566 จะแบ่งกลุ่มความผิดออกเป็น 4 ระดับ 20 ฐานความผิดที่เป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุ ดังนี้
ใบขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องพกติดตัวเสมอ หากใบขับขี่หายจะต้องรีบดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่โดยด่วน เพราะหากเจ้าหน้าที่ขอเรียกดูแล้วไม่มีใบขับขี่มาแสดง จะมีโทษปรับตามมา นอกจากนี้ในส่วนของการเคลมประกันรถยนต์ หากผู้ขับขี่มีใบขับขี่ ถึงจะไม่ใช้เจ้าของรถก็ยังพอสามารถเคลมประกันรถยนต์ได้ หรือ ถ้าประกันรถคันนั้นไม่ระบุชื่อด้วยแล้วจะทำให้การเคลมประกันเป็นไปได้อย่างง่ายและเคลมได้เต็มสิทธิมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จะต้องมีใบขับขี่อีกด้วย ทั้งนี้ใบขับขี่รถจึงมีความสำคัญในหลาย ๆ ด้าน ทั้งนี้นอกจากอย่าปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ หรือทำใบขับขี่หายแล้ว การต่ออายุพ.ร.บ.ต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้พ.ร.บ.ขาด เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ต้องให้ความสำคัญด้วย เพราะการทำพ.ร.บ.คือหลักประกันว่าคุณจะได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่ต้องรอพิสูจน์ว่าใครถูกใครผิดทั้งนั้น รวมไปถึงได้รับเงินชดเชยหากทุพพลภาพหรือสูญเสียอวัยวะ รวมไปถึงการทำประกันรถภาคสมัครใจ เพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งคน รถและความเสียหายต่าง ๆ สนใจทำประกันรถยนต์ คลิก