ยางรถยนต์ เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามในการดูแลรักษาและเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่เมื่อยางรถยนต์ชุดเดิมหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ เพราะในการเดินทางไกลนอกจากระบบการทำงานของรถจะต้องพร้อมใช้งานแล้ว ยางรถยนต์ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เรามาเช็กกันดีกว่าว่ายางรถยนต์ของคุณถึงเวลาเปลี่ยนใหม่แล้วหรือยัง

วิธีดูปี ยางรถยนต์

คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถอาจจะไม่ได้มีความรู้เรื่องรถมากนัก โดยเฉพาะเรื่องของยางรถยนต์ ซึ่งมีความสำคัญในการเดินทางมากเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ เพราะหากยางรถยนต์ แบน รั่ว เสื่อมสภาพ หรือใช้งานเกินอายุของยาง ก็จะทำให้การเดินทางของคุณอาจจะต้องเสียเวลาหรืออาจจะหยุดชะงักไป ฉะนั้นการที่คุณมีความรู้เรื่องยางรถยนต์บ้าง จะช่วยให้คุณเลือกซื้อยางรถยนต์ได้อย่างถูกต้องและใช้งานได้นานอีกด้วย โดยสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนซื้อยางรถยนต์นั่นก็คือ การอ่านปียางรถยนต์ ซึ่งช่วยให้คุณรู้อายุยางรถยนต์หากต้องไปเลือกซื้อยางรถยนต์ได้อย่างเหมาะสม โดยวิธีดูปียางรถยนต์ สามารถดูได้ที่แก้มยาง

ซึ่งจะมีรหัสบอกว่ายางเส้นนั้นผลิตเมื่อไหร่  หมดอายุเมื่อไหร่ จากเลข 4 หลัก WWYY บริเวณแก้มยางจะอยู่ในกรอบเสี่เหลี่ยม ตามเข็มนาฬิกา  2 หลักแรก จะบอกสัปดาห์ที่ผลิตในปีนั้น ส่วนเลข 2 หลักถัดมา บอกปี ค.ศ. ที่ผลิต แล้วยางรถยนต์มีอายุกี่ปี ? สำหรับยางรถยนต์ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี หรือ 40,000 กม. หากครบ 5 ปีแล้วแนะนำให้เปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากจะทำให้เรารู้อายุยางรถยนต์แล้ว เวลาที่เราอาจจำเป็นต้องซื้อยางรถยนต์มือสองใช้ คุณก็สามารถดูปียางรถยนต์ได้ เพื่อจะได้ไม่ถูกย้อมแมวขาย เพราะบางร้านมีการย้อมแมวขายยางรถเก่าโดยอ้างว่าเป็นยางรถยนต์ปีใหม่ โดยการขัดข้อมูลรหัสปียางรถยนต์ออก แล้วปั๊มเข้าไปใหม่ ให้ตัวเลขเป็นปัจจุบันมากที่สุด

เทียบขนาดยางรถยนต์

ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งของรถที่ใช้งานค่อนข้างหนัก เพราะต้องสัมผัสกับถนนไม่ว่าเราจะขับรถไปที่ไหน สภาพถนนเป็นอย่างไร ยางรถยนต์ต้องสัมผัสกับพื้นผิวที่หลากหลายแบบ ทั้งนี้การใช้ยางรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถ จะช่วยให้การเดินทางมีความนุ่มนวล ปลอดภัย ลดแรงกระแทก ลดความเสียหายของช่วงล่าง และยังช่วยประหยัดน้ำมันรถอีกด้วย ในการเลือกขนาดยางรถยนต์มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง เรามีคำแนะนำมาฝาก

ในการคำนวณขนาดยางรถยนต์ สามารถคำนวณได้ 2 แบบ ได้แก่ แบบเมตริกและแบบนิ้ว

ขนาดยางรถยนต์แบบเมตริก

ตัวเลข 3 หลัก แสดงความกว้างยางเป็น มม. เช่น 205/45R17

205 หมายถึง หน้ายางกว้าง 205 มิลลิเมตร

45 หมายถึง อัตราความสูงแก้มยาง  45% (ซีรีย์)

17 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 17 นิ้ว

สูตรการหาความกว้างแก้มยาง

หน้ายาง*(อัตราความสูงแก้มยาง/100)

205*(45/100)

= 92.25 มม. หรือ 3.6 นิ้ว (92.25*25.4),1 นิ้ว = 25.4 มม.

ขนาดยางรถยนต์แบบนิ้ว

ตัวเลข 2 หลัก แสดงเส้นผ่าศูนย์กลางยาง เช่น 31*10.5R15

31 หมายถึง ความสูงของยาง 31 นิ้ว

10.5 หมายถึง หน้ายางกว้าง 10.5 นิ้ว

15 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางวงล้อ 15 นิ้ว

สูตรการหาความกว้างแก้มยาง

ความสูง – ขอบล้อ/2

(31-15)/2 = 8 นิ้ว

สูตรการหาอัตราความสูงแก้มยาง (ซีรีย์) ของยาง

(แก้มยาง/หน้ายาง)

8/10.5 = 76% หรือ ซีรีย์ 76

ประเภทของยางรถยนต์ มีกี่ประเภท

เมื่อเราทราบขนาดยางรถยนต์แล้ว มาทำความรู้จักกับประเภทของยางรถยนต์ที่ใช้กันส่วนใหญ่ ซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่ HT,AT,MT

HT: Highway Terrain

ยางมาตรฐานสำหรับรถยนต์ใหม่และนิยมใช้กันมากที่สุด โดยจะมีอักษร HT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานบนถนนทั่วไป โดยมีดอกยางเล็ก เรียบ ละเอียด มีคุณสมบัติรีดน้ำดี เกาะถนน เหมาะสำหรับ รถยนต์เก๋ง กระบะทั่วไป แต่ไม่รองรับรถกระบะที่ต้องแบกรับน้ำหนักเยอะ ๆ ได้

AT: All Terrain

ยางรถยนต์เหมาะสำหรับรถกระบะแบบ 4*4 โดยมีอักษร AT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานบนถนนทั่วไป  หรือลุยบนพื้นถนนขรุขระได้ระดับหนึ่ง ดอกยางสะบัดดินออกได้ดี เหมาะสำหรับรถกระบะที่ใช้งานทั่วไป หรือใช้งานลุยเข้าป่าได้

MT: Mud Terrain

ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์สายลุยโดยเฉพาะ โดยมีอักษร MT บนแก้มยางรถ เน้นการใช้งานหนัก ลุยบนถนนสภาพแย่ ๆ ได้ดี เช่น ดินโคลน ลุยป่า เป็นต้น โดยมีร่องยางลึก หนา ใหญ่ จึงสามารถดีดดิน โคลนออกจากยางได้อย่างดี แต่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานบนถนนทั่วไปได้

ดูแลยางรถยนต์ยังไงให้ใช้ได้นาน

การดูแลยางรถยนต์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ยางรถยนต์ของเราได้นาน และมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถของคุณ ทั้งนี้ในการดูแลรักษายางรถยนต์มีดังนี้

1.เติมลมยางให้พอดี

หมั่นสังเกตลมยางอยู่เสมอ หากปล่อยให้ลมยางอ่อน ความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน

2.สลับยางรถยนต์

เมื่อใช้ยางรถยนต์ไปสักระยะ ยางจะมีการสึกไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการสลับยางทุก 10,000 กม. เพื่อให้หน้ายางสึกเท่ากัน และหมั่นเช็กลมยางให้พอดีกับการใช้งานด้วย

3.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

การตั้งศูนย์ถ่วงล่อ เป็นการสร้างสมดุลให้กับล้อรถ หากศูนย์ถ่วงล้อรถไม่ดีจะทำให้พวงมาลัยสั่นขณะขับรถซึ่งอันตรายต่อการขับรถ ปกติแล้วหลังจากที่คุณเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทุก3 ปี หรือ 50,000 กม. จะมีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อด้วย

4.เช็กดอกยางรถ

นอกจากจะเช็กลมยางแล้ว การเช็กดอกยางทุก 6 เดือน โดยดูจากสะพานยางหรือร่องนูนที่ร่องยาง หากคุณเห็นสะพานยางหรือยางมีรอยแตกแล้ว แสดงว่ายางรถยนต์เส้นนั้นหมดอายุต้องเปลี่ยนเส้นใหม่เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย

5.หลีกเลี่ยงถนนเป็นหลุม

ทั้งนี้การเลือกใช้ยางรถยนต์ประเภทไหน ควรจะเลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งานและประเภทรถ หากใช้งานบนถนนทั่วไป ควรจะเลือก HT หากใช้รถกระบะ ที่ใช้งานทั้งในเมืองหรือออกไปลุยในวันหยุด อาจจะเลือกยางรถยนต์ AT หรือหากเป็นสายลุยเน้นเที่ยวป่าเที่ยวเขาโดยเฉพาะ เลือกใช้ยาง MT นั่นเองค่ะ นอกจากความรู้ในการเลือกยางรถยนต์แล้ว ผู้ขับขี่ควรจะมีความรู้ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติด จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร หรือหากเกิดปัญหายางรถยนต์รั่ว ขณะขับรถยนต์จะต้องทำอย่างไร คุณสามารถอ่านการแก้ไขปัญหารถสตาร์ทไม่ติดได้จาก บทความรถสตาร์ทไม่ติดอย่าเพิ่งตกใจ สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ คลิก หรือ บทความรถยางรั่วขณะขับรถต้องทำอย่างไร ? ปะยางหรือเปลี่ยนยางใหม่? คลิก เพื่อเป็นความรู้สำหรับผู้ที่มีรถที่อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันและสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ค่ะ แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถและมีคนคอยดูแลหากเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนน แนะนำประกันภัยรถยนต์ผ่อน 0% คุ้มครองทุกการเดินทาง จากเฮงลิสซิ่ง เลือกแผนประกันที่เหมาะกับคุณได้ คลิก