เนื้อหาของบทความ
หากคุณกำลังเจออาการผิดปกติของรถเหล่านี้ พวงมาลัยสั่นมากผิดปกติ หรือลองปล่อยมือออกจากพวงมาลัยขณะขับรถแล้วรถเอียงออกข้างทาง สัญญาณเหล่านี้คือสัญญาณที่ รถของคุณถึงเวลา ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ แล้วการตั้งศูนย์-ถ่วงล้อรถยนต์คืออะไร จำเป็นที่รถทุกคันต้องทำหรือไม่เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
การ ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ คืออะไร
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้รถยนต์มีความสมดุลขณะขับขี่ รถที่ไม่ทำการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ จะรู้สึกว่าเวลาขับรถพวงมาลัยจะเอียงซ้ายบ้างขวาบ้าง ซึ่งแบบนี้เป็นอันตรายต่อการขับขี่แน่นอน ฉะนั้นการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ จึงเป็นกระบวนการปรับแต่งการวางล้อของรถยนต์ให้สมดุลและสัมพันธ์กันเหมาะสมและความปลอดภัยในการขับขี่ ทั้งนี้คำว่าตั้งศูนย์ถ่วงล้อ จะแบ่งออกเป็น การตั้งศูนย์และการถ่วงล้อรถยนต์ หรือคนมักจะเขียนว่า ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ เพื่อให้เข้าใจง่ายและทราบว่าเป็นกระบวนการที่ต้องทำควบคู่กัน ดังนั้นการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการขับขี่ของรถยนต์ การตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่ถูกต้องช่วยให้รถยนต์มีการเคลื่อนที่ที่เสถียรและมีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง นอกจากนี้ การตั้งศูนย์ถ่วงล้อยังช่วยให้มีความปลอดภัยในการขับขี่ที่สูงขึ้น และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ในระยะยาว ดังนั้นการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์เป็นกระบวนการที่ควรให้ความสำคัญ โดยคุณควรทำการตรวจสอบและปรับแต่งล้ออย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ระยะห่างที่เหมาะสมและความสมดุลที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามการตั้งศูนย์ถ่วงล้อนั้นสามารถนำรถเข้าไปทำได้ที่ร้านยางรถยนต์ชั้นนำ หรือร้านยางรถยนต์ที่คุณไปเปลี่ยนยางรถยนต์ได้ 30
- ตั้งศูนย์ – การปรับตั้งมุมของล้อเพื่อให้ได้องศาตามที่ผู้ผลิตรถของคุณกำหนด
- ถ่วงล้อ – การถ่วงล้อจะช่วยให้ล้อหมุนได้โดยไม่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ไม่จำเป็น
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ทำเมื่อใดบ้าง
การตั้งศูนย์ล้อรถยนต์มีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญคือ เพื่อให้ล้อของรถยนต์มีการติดตั้งและการตั้งค่าที่ถูกต้องตามมาตรฐาน และข้อกำหนดของผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากล้อที่มีการตั้งค่าไม่ถูกต้องอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ โดยสถานการณ์หรือสัญญาณใดบ้างที่คุณควรนำรถยนต์ของคุณไปตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ
ตั้งศูนย์ เมื่อไหร่
- เปลี่ยนล้อรถยนต์ใหม่
- รู้สึกผิดปกติขณะขับรถ พวงมาลัยเอียงซ้ายขวา
- เมื่อมีการซ่อมช่วงล่างรถยนต์ หรือระบบบังคับเลี้ยว
- มีเสียงดังขณะเข้าโค้ง หรือการเลี้ยวรถ
ถ่วงล้อ เมื่อไหร่
- พวงมาลัยสั่น ไม่ว่าจะสั่นทุกช่วงความเร็วหรือ สั่น ณ ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง
- เมื่อมีการสลับยางวิ่ง แล้วเกิดอาการสั่น
- ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ โดยควรถ่วงทั้ง 4 ล้อเสมอ
หลังจากตั้งศูนย์-ถ่วงล้อแล้ว เป็นอย่างไร?
จุดประสงค์ของการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์นั้น ทำให้การควบคุมรถมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง ลดการเปลี่ยนยางรถยนต์บ่อยจากปัญหายางสึกก่อนเวลา และทำให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรถมีความสมดุล ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา
3 ศัพท์เทคนิคที่ควรรู้เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
ในการตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ ช่างเทคนิคจะมีการเช็กมุมแคมเบอร์ มุมโท และมุมแคสเตอร์ ซึ่งการตั้งศูนย์จะตั้งทำมุมทั้ง 3 นี้ให้เท่ากัน โดยแต่ละมุมมีรายละเอียดดังนี้
1.มุมแคมเบอร์ (Camber)
แคมเบอร์ คือมุมด้านในหรือด้านนอกของยาง หากมองมาจากทางด้านหน้ารถในลักษณะเส้นดิ่ง ถ้าหากมุมนี้เอียงไปด้านในหรือด้านนอกมากจนเกินไป หรือเรียกว่า แคมเบอร์บวกและลบตามลำดับ จุดนี้แสดงถึงศูนย์ล้อที่ไม่สมดุล และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน หรือหากมีส่วนรับน้ำหนัก ลูกหมากปีกนก ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือนล้ออื่นเกิดการสึกหรออาจส่งผลให้มุมแคมเบอร์เกิดผิดพลาดได้เช่นกัน
2.มุมโท (Toe)
มุมโท โทจะกำหนดทิศทางที่ยางชี้ไปเมื่อเทียบกับเส้นกึ่งกลางของรถ โทจะแสดงถึงความแตกต่างของระยะห่างระหว่างด้านหน้าของล้อและด้านหลังของล้อที่อยู่บนเพลาเดียวกัน ทั้งนี้การตั้งค่าโท จะส่งผลต่อลักษณะการควบคุมรถและเสถียรภาพในแนวตรง จะอยู่ในขอบเขตที่ทำมุมกับยางที่เอนเข้าด้านในหรือด้านนอก หากมองรถจากด้านบนและมองไปที่เท้าของตัวเอง แล้วเอียงเท้าด้านในเข้ากึ่งกลางลำตัว เมื่อยางของคุณมีลักษณะเดียวกับเท้า เรียกว่า มุมโทอิน Toe in แต่หากยางอยู่ในมุมที่เท้าเอียงออกด้านนอกจะเรียกว่า มุมโทเอาต์ Toe out ซึ่งหากเกิดอาการนี้ต้องตั้งศูนย์ใหม่
3.มุมแคสเตอร์ (Caster)
มุมแคสเตอร์ ช่วยเรื่องการบังคับพวงมาลัย ควบคุมเสถียรภาพและเลี้ยวโค้งได้อย่างสมดุล สามารถมองจากด้านข้างของรถ หากมุมแคสเตอร์เป็นบวก จะทำให้แกนพวงมาลัยเอียงไปทางคนขับ แต่ถ้ามุมแคสเตอร์เป็นลบ พวงมาลัยจะเอนเอียงไปทางหน้ารถ
ดูแลยางรถยนต์ยังไงให้ใช้ได้นาน
การดูแลยางรถยนต์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ยางรถยนต์ของเราได้นาน และมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถของคุณ ทั้งนี้ในการดูแลรักษายางรถยนต์มีดังนี้
1.เติมลมยางให้พอดี
หมั่นสังเกตลมยางอยู่เสมอ หากปล่อยให้ลมยางอ่อน ความร้อนจะสะสมในยางทำให้เกิดแผลที่ยางเหลืออาจจะระเบิดได้ หรือหากยางรถยนต์แข็งมากเกินไป อาจจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว หรือเสี่ยงยางระเบิดได้เช่นเดียวกัน
- รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมแรงลมที่ 25 – 30 ปอนด์
- รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมแรงลมที่ 30 – 35 ปอนด์
- รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมแรงลมที่ 35 – 40 ปอนด์
- รถตู้บรรทุก 7 – 10 คน ควรเติมแรงลมที่ 43 – 55 ปอนด์
โดยความถี่ในการเติมลมยางรถยนต์นั้น ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเติมเมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานรถยนต์บ่อยแค่ไหน ปกติแล้วลมยางรถยนต์จะลดลง 2-3 PSI ในหนึ่งเดือน หากไม่ค่อยได้ขับขี่รถบ่อย ควรเติมลมยางรถยนต์ เดือนละครั้งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ควรหมั่นตรวจสอบเช็กลมยางรถยนต์อยู่เสมอจึงจะดีที่สุด
2.สลับยางรถยนต์
เมื่อใช้รถยนต์ไปสักระยะหนึ่งแล้ว ยางรถยนต์จะมีการสึกไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อทำให้หน้ายางสึกเท่ากัน และหมั่นเช็กลมยางให้พอดีกับการใช้งานด้วย
3.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
การตั้งศูนย์ถ่วงล่อ เป็นการสร้างสมดุลให้กับล้อรถ หากศูนย์ถ่วงล้อรถไม่ดีจะทำให้พวงมาลัยสั่นขณะขับรถซึ่งอันตรายต่อการขับรถ ปกติแล้วหลังจากที่คุณเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทุก3 ปี หรือ 50,000 กม. จะมีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อด้วย
4.เช็กดอกยางรถ
นอกจากจะเช็กลมยางแล้ว การเช็กดอกยางทุก 6 เดือน โดยดูจากสะพานยางหรือร่องนูนที่ร่องยาง ศึกษาเรื่องยางรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกหากคุณเห็นสะพานยางหรือยางมีรอยแตกแล้ว แสดงว่ายางรถยนต์เส้นนั้นหมดอายุต้องเปลี่ยนเส้นใหม่เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
5.เลือกยางรถยนต์ให้ถูกประเภท
ทั้งนี้การเลือกใช้ยางรถยนต์ประเภทไหน ควรจะเลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งานและประเภทรถ หากใช้งานบนถนนทั่วไป ควรจะเลือก HT หากใช้รถกระบะ ที่ใช้งานทั้งในเมืองหรือออกไปลุยในวันหยุด อาจจะเลือกยางรถยนต์ AT หรือหากเป็นสายลุยเน้นเที่ยวป่าเที่ยวเขาโดยเฉพาะ เลือกใช้ยาง MT นั่นเองค่ะ
ล้อรถยนต์เป็นส่วนสำคัญของรถที่ต้องดูแล นอกจากจะหมั่นเช็กลมยางเป็นประจำแล้ว การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นการดูแลล้อรถยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน เพื่อการขับขี่ปลอดภัยของคุณ นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังควรมีความรู้เกี่ยวยางรถยนต์ เช่น การอ่านขนาดยางรถยนต์ การเติมลมยางรถยนต์ การเลือกยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย นอกจากนี้การทำประกันรถยนต์ ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำติดรถไว้ เพื่อความคุ้มครอง ตลอดการเดินทาง หากรถเสียกลางทาง คุณก็ยังสามารถโทรเรียกบริษัทประกันให้เข้ามาช่วยเหลือโดยเฉพาะคนที่ขับรถลำพังตอนกลางคืน การทำประกันจึงมีความจำเป็นอย่างมาก อย่างน้อยหากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือเหตุสุดวิสัย สามารถโทรเรียกประกันให้เข้ามาช่วยเหลือคุณได้ สนใจทำประกันรถยนต์ คลิกปุ่มสมัครด้านล่างเลย